ทำไม สหรัฐอเมริกา จึงเป็นประเทศแห่ง อุตสาหกรรมไอที ? ตอนที่ 2 /โดย ลงทุนแมน
“ซิลิคอนแวลลีย์ไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นวิธีคิด”
คำกล่าวของ Reid Hoffman ผู้ก่อตั้ง LinkedIn แพลตฟอร์มเครือข่ายธุรกิจในการหางานและผู้ร่วมงาน ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเขตซิลิคอนแวลลีย์
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ในแง่สถานที่ ซิลิคอนแวลลีย์ คือ พื้นที่หุบเขาราว ๆ 1,500 ตารางกิโลเมตร บริเวณรอบอ่าวซานฟรานซิสโก ทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกา
ซิลิคอนแวลลีย์ประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่ ที่ล้วนเป็นสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของเหล่าบริษัทไอทีชั้นนำระดับโลก โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากคำว่า “ซิลิคอนชิป” ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่เป็นหน่วยความจำของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ส่วนในแง่วิธีคิด มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดปลูกฝังการศึกษาด้านอิเล็กทรอนิกส์ให้งอกงาม ไปพร้อม ๆ กับการพัฒนากระบวนการผลิตนักศึกษาให้เป็นนักธุรกิจ
จนนำมาสู่การก่อตั้งบริษัทไอทีระดับโลกแห่งแรกในซิลิคอนแวลลีย์ คือ Hewlett Packard (HP)
หลังจากนั้น หุบเขาแห่งนี้ก็เบ่งบานไปด้วยบริษัทไอที ดึงดูดนักประดิษฐ์และผู้คลั่งไคล้เทคโนโลยีจากทั่วโลก ให้เข้ามาสานฝันให้กลายเป็นความจริง
และเมื่อมี “วิธีคิด” ช่วยส่องสว่าง นวัตกรรมทุกอย่างก็จะมีหนทางไป..
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ตอน ทำไม สหรัฐอเมริกา จึงเป็นประเทศแห่ง อุตสาหกรรมไอที ? ตอนที่ 2
ด้วยอาณาบริเวณกว้างใหญ่รอบอ่าวซานฟรานซิสโก ต้นน้ำแห่งนวัตกรรมของซิลิคอนแวลลีย์จึงไม่ได้มีแค่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเท่านั้น
แต่เหนือขึ้นมาราว 50 กิโลเมตร ยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์กลีย์
มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก่อตั้งในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และสร้างนักประดิษฐ์ วิศวกร ไปจนถึงผู้ประกอบการชั้นยอดมากมาย มาประดับวงการไอที
หนึ่งในนั้นคือ Fred Moore ผู้ก่อตั้งสมาคมคอมพิวเตอร์โฮมบรูว์ สมาคมที่เป็นสถานที่นัดพบของผู้คลั่งไคล้ในโลกของเทคโนโลยี เป็นที่แลกเปลี่ยนทางความคิด
โดยความปรารถนาสูงสุดของผู้คนในสมาคมนี้ คือการสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลขึ้นมาเอง
ในช่วงปี 1975 ที่มีการก่อตั้งสมาคมแห่งนี้
ความสำเร็จของการประดิษฐ์ “ไมโครโพรเซสเซอร์” ที่ย่อส่วนแผงวงจรรวมจำนวนมากเข้ามาอยู่ด้วยกันในชิปขนาดเล็ก
ทำให้ขนาดของเครื่องคอมพิวเตอร์จากที่มีขนาดใหญ่โตเท่าห้อง มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ ราคาก็ถูกลงเรื่อย ๆ และด้วยหน่วยความจำที่มากขึ้น ความสามารถในการทำงานจึงสูงขึ้นและรวดเร็วขึ้นเป็นทวีคูณ
Steve Wozniak นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ได้ชักชวนเพื่อนสมัยมัธยมที่ชื่อ Steve Jobs ให้มาเข้าร่วมสมาคมคอมพิวเตอร์แห่งนี้..
Steve Wozniak เป็นผู้คลั่งไคล้ในวิศวกรรมและมีความสามารถในการประดิษฐ์คิดค้น เคยทำงานให้กับ Hewlett Packard
ส่วน Steve Jobs เป็นผู้มีหัวการค้า มีนิสัยกล้าคิดกล้าทำ เขาเคยทำงานให้กับบริษัทสร้างวิดีโอเกมชื่อ Atari และเคยทำงานในช่วงฤดูร้อนให้กับ Hewlett Packard ด้วยเช่นกัน
Wozniak ได้นำความรู้และประสบการณ์มาทดลองออกแบบคอมพิวเตอร์ด้วยแนวทางของตัวเอง โดยใช้ชิปเท่าที่จะหาได้ มาประกอบกับคีย์บอร์ด QWERTY และมีจอโทรทัศน์เป็นเครื่องแสดงผลในช่วงแรกเริ่ม
และเมื่อออกมาเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล Jobs ก็เป็นผู้เสนอความคิดให้ลองนำสิ่งประดิษฐ์นี้ออกวางขายในเวลาต่อมา
ผลงานการประดิษฐ์ชิ้นนั้นของ Wozniak ถือเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะรุ่นแรก ๆ ของโลก เครื่องคอมพิวเตอร์นี้ถูกตั้งชื่อต่อมาว่า “Apple I”
สิ่งสำคัญไม่แพ้การสนับสนุนจากสถาบันการศึกษาก็คือ “เสรีภาพทางความคิด”
ซิลิคอนแวลลีย์ มีสมาคมมากมายที่เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนทางความคิด นำเสนอไอเดีย จึงกลายเป็นวัฒนธรรมที่หล่อหลอมให้คนรุ่นใหม่กล้าคิดกล้าทำ และเติบโตไปบนหนทางสร้างสรรค์ที่ตัวเองตั้งใจ
คอมพิวเตอร์ของ Wozniak ก็ถูกนำเสนอแก่สายตาสมาชิกในสมาคมโฮมบรูว์ในช่วงปลายปี 1975 ซึ่งหนึ่งในผู้เข้ามาร่วมชม คือ เจ้าของร้าน The Byte Shop ร้านขายของเบ็ดเตล็ดและอุปกรณ์ไอที
ที่เกิดความประทับใจกับคอมพิวเตอร์ชิ้นนี้มาก จึงได้สั่งซื้อคอมพิวเตอร์นี้ถึง 50 เครื่อง
แล้วก้าวแรกของบริษัท Apple ก็เริ่มต้นขึ้นในเมืองคูเปอร์ติโน ทางตอนใต้ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในอีก 1 ปีถัดมา..
ใครจะไปเชื่อว่า จากบริษัทเล็ก ๆ ที่มีผู้ก่อตั้งเป็นผู้คลั่งไคล้เทคโนโลยี 2 คน
ในปี 1980 หลังการก่อตั้งเพียง 4 ปี บริษัทสามารถเติบโตจนเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นในฐานะบริษัทมหาชนได้สำเร็จ และได้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ในตอนนี้..
เมื่อมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแล้ว อีกหนึ่งก้าวสำคัญของซิลิคอนแวลลีย์ ก็เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970s
นั่นก็คือ จุดเริ่มต้นของ “อินเทอร์เน็ต”
เมื่อบริษัทไอที ชื่อ Xerox ได้จัดตั้งศูนย์วิจัยในเมืองพาโล อัลโต ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ชื่อว่า Xerox Palo Alto Research Center หรือ Xerox PARC
Xerox PARC ได้เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีเชื่อมต่อ จากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง ในยุคแรกที่มีชื่อว่า ระบบอีเทอร์เน็ต (Ethernet)
อีเทอร์เน็ต ถูกพัฒนาขึ้นในปี 1973 โดยเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับเครื่องพิมพ์ ผ่านเครือข่ายบริเวณระยะใกล้ หรือเครือข่าย LAN (Local Area Network)
ต่อมาในปี 1978 Vint Cerf ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้ร่วมมือกับ Bob Kahn พัฒนาโพรโทคอล TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol)
ซึ่งโพรโทคอลที่ว่านี้ คือชุดของขั้นตอนและกฎระเบียบ ทำให้ภายในชุดกฎระเบียบเดียวกัน ทั้ง 2 เครื่องจะสามารถเข้าใจระบบของกันและกัน และสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้
โดยเฉพาะเลข Internet Protocol (IP) ที่เป็นการปูรากฐานให้กับโลกของอินเทอร์เน็ต
อุปกรณ์ทุกชนิดที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตจะต้องมีเลขนี้ เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ บนระบบเครือข่ายรู้จักกัน โดย IP จะระบุว่า เครือข่ายต่าง ๆ ควรเชื่อมโยงกันอย่างไร
เมื่อโลกอินเทอร์เน็ตถูกปูรากฐาน ต่อมาในยุค 1980s ก็เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการพัฒนาคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลให้ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น
Doug Engelbart นักวิจัยจากสถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด ได้มาทำงานให้ PARC และได้พัฒนาระบบส่วนต่อประสานกราฟิกกับผู้ใช้ หรือ Graphic User Interface (GUI)
จากคอมพิวเตอร์รุ่นแรก ๆ ที่ใช้งานยากและต้องใช้งานผ่านตัวอักษร
ระบบ GUI ได้เข้ามาช่วยเปลี่ยนการใช้งานให้ง่ายขึ้นผ่านทางสัญลักษณ์หรือภาพ เช่น ไอคอน หน้าต่างการใช้งาน เมนู ปุ่มเลือก รวมถึงการพัฒนา “ตัวชี้ตำแหน่ง X-Y” ซึ่งต่อมาก็คือ “เมาส์”
ทั้งระบบ GUI และเมาส์นี่เอง ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ Steve Jobs นำสิ่งเหล่านี้มาพัฒนาและเกิดเป็น “Macintosh” ในปี 1984 ซึ่งถือเป็น เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรก ๆ ที่มีการออกแบบอย่างเข้าใจผู้ใช้งาน
ในเวลานี้ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ
ครัวเรือนชาวอเมริกันที่ครอบครองคอมพิวเตอร์เพิ่มจากร้อยละ 5 ในช่วงต้นทศวรรษ 1980s
มาเป็นร้อยละ 20 ในปี 1989
โลกอินเทอร์เน็ตถูกเชื่อมโยงเข้ากับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และเปิดทางให้เกิดการพัฒนา World Wide Web ในช่วงปี 1989 ซึ่งมีจุดเริ่มต้นเมื่อ นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัย CERN ในสวิตเซอร์แลนด์ ต้องการส่งข้อมูลให้กับเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก
World Wide Web, WWW คือ ระบบการเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต จากแหล่งข้อมูลหนึ่ง ไปยังแหล่งข้อมูลที่อยู่ห่างไกลทั่วโลก ให้มีความง่ายต่อการใช้งานมากที่สุด
โดยผ่านซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า “เบราว์เซอร์”
แล้ว “สาธารณชน” ในยุค 1990s ก็เข้าถึงโลกอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก!
สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศที่มีผู้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตสัดส่วนสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ในปี 1996 มีชาวอเมริกันเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสูงถึงร้อยละ 16
ในขณะที่หลายประเทศในยุโรปตะวันตกยังเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไม่ถึงร้อยละ 5
การเกิดขึ้นของ World Wide Web ทำให้ย่านซิลิคอนแวลลีย์เริ่มคึกคักไปด้วยบริษัทที่มีโมเดลทำรายได้ผ่านอินเทอร์เน็ต ที่ถูกมองว่าเป็นนวัตกรรมแห่งอนาคต ขึ้นมามากมาย
และสิ่งสำคัญที่สุด ที่มีมาตั้งแต่การก่อตั้งบริษัทไอทีในยุค 1950s คือ ธุรกิจเงินร่วมลงทุน หรือ Venture Capital ดึงดูดให้บริษัทสตาร์ตอัปมากมาย หลั่งไหลเข้ามาใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบเหล่านี้
นักศึกษาปริญญาเอกสาขาคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด 2 คน
คือ Larry Page และ Sergey Brin ได้ร่วมกันพัฒนาโปรแกรมสำหรับใช้ค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตในรูปแบบของ Search Engine
โดยใช้การทำงานของ Robot ที่ชื่อว่า Spider ซึ่งเป็นตัวสำรวจข้อมูล เมื่อพบข้อมูลที่ต้องการก็จะส่งข้อมูลไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทาง
ปี 1998 ทั้ง 2 คน ได้ตั้งบริษัทที่ชื่อว่า “Google” ในเมืองเมนโลพาร์ก และ IPO เข้าสู่ตลาดหุ้นในอีก 5 ปีถัดมา
แล้วก็ไม่ต่างอะไรกับบริษัท Apple เพราะอีก 20 ปีต่อมา บริษัท Google ที่เปลี่ยนชื่อเป็น Alphabet ก็ได้กลายมาเป็น บริษัทที่มีมูลค่าเป็นอันดับ 5 ของโลก..
แม้ความรุ่งเรืองจากการเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ต จะพาซิลิคอนแวลลีย์เข้าสู่การเติบโตที่รวดเร็วเกินไปจนเกิดวิกฤติฟองสบู่ดอตคอมในช่วงก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 จนสร้างความเสียหายหลายบริษัทและนักลงทุนในตลาดหุ้นจำนวนมาก
แต่อย่างไรก็ตาม วิกฤติครั้งนั้น ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการพัฒนาของเทคโนโลยี ณ หุบเขาแห่งนี้ได้
หลังจากวิกฤติไม่นาน ก็มีการพัฒนาระบบ IPv6 ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลน IP ช่วยให้อุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น นอกเหนือจากเครื่องคอมพิวเตอร์
ซึ่งปูทางมาถึงการเกิดขึ้นของ “สมาร์ตโฟน” โทรศัพท์มือถือที่มีความสามารถในการใช้งานมัลติมีเดีย และเชื่อมต่อเข้ากับโลกอินเทอร์เน็ตอย่างไร้รอยต่อ ด้วยระบบ IPv6
หนึ่งในสมาร์ตโฟนที่โดดเด่นที่สุดก็คือ iPhone จากบริษัท Apple ที่เปิดตัวในปี 2007
เช่นเดียวกับ Google ที่ได้เข้าซื้อบริษัท Android และเปิดตัวโทรศัพท์แอนดรอยด์ในปี 2008
และทั้งสองก็แข่งขันกันพัฒนาระบบปฏิบัติการของตัวเอง
เมื่อผู้คนเริ่มใช้สมาร์ตโฟนมากขึ้น นำมาสู่การเกิดขึ้นของ “Application” ซอฟต์แวร์ที่ใช้เพื่อช่วยการทำงานต่าง ๆ ของผู้ใช้งาน
โดยแอปพลิเคชัน จะมีส่วนที่ติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface) หรือ UI เพื่อเป็นตัวกลางในการใช้งานให้ราบรื่น
และด้วยความที่ซิลิคอนแวลลีย์เต็มไปด้วย Venture Capital ที่คอยให้เงินทุนสนับสนุนไอเดียล้ำ ๆ
หุบเขาแห่งนี้ จึงยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดบริษัทใหม่มากมาย โดยเฉพาะบริษัทที่จะมาสร้างสรรค์เครือข่ายสังคมออนไลน์..
ปี 2003 LinkedIn เกิดแพลตฟอร์มเครือข่ายธุรกิจในการหางานและผู้ร่วมงาน
ก่อตั้งโดย Reid Garrett Hoffman วิศวกรที่เคยทำงานให้กับ Apple
ปี 2004 เกิด Facebook เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก
ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการคิดค้นวิธีการเชื่อมผู้คนในรูปแบบใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ของ Mark Zuckerberg พร้อมกับเพื่อนอีก 4 คน
ปี 2006 หลังออกจากมหาวิทยาลัย Jack Dorsey พร้อมกับเพื่อนอีก 3 คน
ได้ก่อตั้งเครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภท Microblog ที่แสดงข้อความสั้น ๆ ความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร
โดยคิดค้นชื่อที่มาจากคำว่า Tweet ซึ่งแปลว่าเสียงนกร้อง Logo ของบริษัทจึงเป็นรูปนก และบริษัทนี้มีชื่อว่า Twitter
ปี 2009 เกิด WhatsApp แอปพลิเคชันในการติดต่อสื่อสารด้วยข้อความ ก่อตั้งโดย Jan Koum โปรแกรมเมอร์ที่เห็นประโยชน์จากการเกิดขึ้นของสมาร์ตโฟน
บริษัททั้งหมดล้วนมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในซิลิคอนแวลลีย์
หุบเขาแห่งเทคโนโลยีแห่งนี้ยังคงดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้เข้าไปเติมเต็มความฝัน เพื่อสร้างสรรค์อุปกรณ์ไอทีที่ไฮเทคขึ้นเรื่อย ๆ
และเปลี่ยนแปลงมาสู่โลกของเครือข่ายอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและเชื่อมต่อกันและกัน หรือเรียกว่า “Internet of Things” ที่จะเข้ามามีบทบาทในทุกย่างก้าวของชีวิต
ความสำเร็จของอุตสาหกรรมไอทีที่ทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นมหาอำนาจของโลก ล้วนมีที่มาจากหลายปัจจัย
ทั้งระบบการศึกษาที่เข้มแข็ง ที่สร้างองค์ความรู้และช่วยวางรากฐานสู่โลกธุรกิจ
วัฒนธรรมแห่งเสรีภาพ ที่สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่กล้าคิดกล้าทำเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
แหล่งเงินทุน ที่เข้าถึงง่ายและมีหลากหลายรูปแบบ
และเครือข่ายผู้คิดค้นนวัตกรรมที่เติมเต็มความฝันต่อยอดกันไปไม่รู้จบ
หากถามว่า อิทธิพลทางเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาจะคงอยู่อีกนานแค่ไหน ?
เมื่อไรที่มนุษย์จะหยุดฝัน เมื่อนั้นอาจเป็นคำตอบ..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-มิเชลล์ ควินน์, เมื่อซิลิคอนแวลลีย์เติบใหญ่ นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2562
-https://www.parc.com/about-parc/parc-history/
-https://www.internetsociety.org/wp-content/uploads/2017/09/ISOC-History-of-the-Internet_1997.pdf
-https://searchnetworking.techtarget.com/definition/TCP-IP
-https://www.lifewire.com/transmission-control-protocol-and-internet-protocol-816255
-https://tradingeconomics.com/united-states/personal-computers-per-100-people-wb-data.html
-https://www.businessinsider.com.au/highest-valued-public-companies-apple-aramco-biggest-market-cap-2020-1
-https://www.forbes.com/profile/reid-hoffman/#5f276ca61849
-http://startitup.in.th/the-rags-to-rich-jan-koum-whatsapp-co-founder-startup-story/
-https://www.set.or.th/set/enterprise/html.do?name=vc
aramco market cap 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
ราคาน้ำมันตกต่ำ Saudi Aramco ได้รับผลกระทบแค่ไหน? /โดย ลงทุนแมน
ราคาน้ำมันดิบตลาดโลก ปรับตัวลดลงนับจากต้นปีประมาณ 30% ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อบริษัทพลังงานหลายแห่ง จนประสบภาวะขาดทุน และตัดลดงบลงทุนจำนวนมาก
แล้วเรื่องนี้ ส่งผลกระทบต่อบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Saudi Aramco มากแค่ไหน?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
สัมผัสเทคโนโลยีรูปแบบใหม่จากสตาร์ตอัปไทย Blockdit
Blockdit เป็นแพลตฟอร์มของแหล่งรวมนักคิด
ที่ช่วยอัปเดตสถานการณ์ ในรูปแบบบทความ วิดีโอ
รวมไปถึงพอดแคสต์ ที่มีให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
ลองใช้กันที่ Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Saudi Aramco เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของซาอุดีอาระเบียในเดือนธันวาคม ปี 2019
โดยวันแรกที่หุ้นของบริษัทเข้ามาซื้อขาย
บริษัทมีมูลค่า Market Cap. ประมาณ 60 ล้านล้านบาท
แต่หลังจากนั้นไม่นาน Saudi Aramco เจอเหตุการณ์ที่ท้าทายบริษัทอย่างหนัก
1. สงครามราคาน้ำมันระหว่างรัสเซียกับซาอุดีอาระเบีย ทำให้ราคาน้ำมันตกต่ำ
2. การระบาดของ COVID-19 ทำให้เศรษฐกิจโลกตกต่ำอย่างรุนแรงที่สุด นับตั้งแต่เกิด Great Depression หรือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ปี 1930
เศรษฐกิจที่ตกต่ำ ส่งผลให้การขนส่งและการเดินทางระหว่างประเทศลดลงในช่วงที่ผ่านมา
และก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ความต้องการบริโภคน้ำมันทั่วโลกลดลง และต้องใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าที่จะกลับไปสู่ระดับปกติ
เรื่องทั้งหมดนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้มูลค่า Market Cap. ของ Saudi Aramco ลดลงเหลือ 55 ล้านล้านบาท หรือลดลงไปประมาณ 5 ล้านล้านบาท นับจากวันที่เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
แค่มูลค่าที่ลดลงไปก็มีมูลค่าเท่ากับบริษัทปตท. จำนวน 5 บริษัทมารวมกัน..
แล้วผลประกอบการของ Saudi Aramco ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2020 เป็นอย่างไร
6 เดือนแรกของปี 2019 รายได้ 4,626,000 ล้านบาท กำไร 1,463,000 ล้านบาท
6 เดือนแรกของปี 2020 รายได้ 2,902,000 ล้านบาท กำไร 725,000 ล้านบาท
รายได้ลดลงไป 37% ขณะที่กำไรลดลงไป 50%
แต่ต้องบอกว่า แม้กำไรจะลดลงอย่างมาก แต่ผลประกอบการของ Saudi Aramco ก็ยังดูดีกว่าบริษัทพลังงานขนาดใหญ่หลายแห่งที่ขาดทุนในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2020
British Petroleum ขาดทุน 662,000 ล้านบาท
Shell ขาดทุน 566,000 ล้านบาท
ExxonMobil ขาดทุน 53,000 ล้านบาท
หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ Saudi Aramco ยังมีกำไรได้อยู่ก็เพราะต้นทุนขุดเจาะน้ำมันของ Saudi Aramco อยู่ในระดับที่ต่ำเพียง 2.80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งถือเป็นระดับราคาที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับราคาน้ำมันดิบในปัจจุบัน
พอเรื่องเป็นแบบนี้ ก็ต้องบอกว่า Saudi Aramco น่าจะเป็นบริษัทพลังงานที่สามารถทนทานต่อภาวะที่ราคาน้ำมันอยู่ในระดับต่ำ ได้ดีกว่าบริษัทพลังงานขนาดใหญ่อีกหลายแห่ง
หรือพูดง่ายๆ ก็คือ กว่าที่ Saudi Aramco จะเริ่มประสบปัญหา บริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมก็น่าจะตายก่อน
นอกจากนี้ Saudi Aramco ยังคาดว่าทั้งปี 2020 จะยังสามารถจ่ายเงินปันผลได้เท่ากับปีที่แล้วที่เท่ากับ 2,340,000 ล้านบาท แม้ว่าผลประกอบการจะลดลง
ซึ่งในตอนนี้ผู้ถือหุ้นใหญ่สุดของ Saudi Aramco ก็ยังเป็นรัฐบาลของซาอุดีอาระเบีย ที่ถือหุ้นอยู่ 98.5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
ปัจจุบัน แม้ว่า Saudi Aramco จะเป็นบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในโลก
แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกแล้ว
เนื่องจากล่าสุด บริษัท Apple ได้มีมูลค่าบริษัทแซง Saudi Aramco ไปแล้ว นั่นเอง..
╔═══════════╗
สัมผัสเทคโนโลยีรูปแบบใหม่จากสตาร์ตอัปไทย Blockdit
Blockdit เป็นแพลตฟอร์มของแหล่งรวมนักคิด
ที่ช่วยอัปเดตสถานการณ์ ในรูปแบบบทความ วิดีโอ
รวมไปถึงพอดแคสต์ ที่มีให้ฟังระหว่างเดินทางด้วย
ลองใช้กันที่ Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.saudiaramco.com/en/investors/investors
-https://www.aa.com.tr/en/economy/saudi-aramco-income-higher-than-12-oil-giants-in-2019/1784539
-https://www.deccanchronicle.com/business/companies/020820/apple-now-worlds-most-valuable-company-dethrones-saudi-aramco.html
-https://www.saudiaramco.com/-/media/publications/corporate-reports/saudi-aramco-h1-2020-webcast-presentation-english.pdf
-https://www.reuters.com/article/us-saudi-aramco-results-dividends/saudi-aramco-says-it-still-plans-to-pay-75-billion-in-dividends-for-2020-idUSKCN2550BA
-https://www.businesswire.com/news/home/20200731005245/en/ExxonMobil-Reports-Results-Quarter-2020
-https://www.globenewswire.com/news-release/2020/07/30/2070010/0/en/ROYAL-DUTCH-SHELL-PLC-2ND-QUARTER-2020-AND-HALF-YEAR-UNAUDITED-RESULTS.html
-https://www.bp.com/en/global/corporate/investors/investor-presentations/2q-presentation-2020.html
-https://www.washingtonpost.com/business/energy/by-pumping-at-will-saudi-arabia-hurts-oil-investment/2020/03/15/189505da-6693-11ea-8a8e-5c5336b32760_story.html
aramco market cap 在 君子馬蘭頭 - Ivan Li 李聲揚 Facebook 的最讚貼文
[人類史上第一間](*)兩年多啲,蘋果由10000萬億市值,變到20000萬億市值。造就幾多人脫貧。當然唔包括啲「車扯但係如果不過」撚
TLDR:幾個啟示:永遠樂觀。唔好同聯儲局對抗。遠離你啲網友。做生意唔使拎難度分,賺錢就得。買股票都係。
1. 係喎,都話早兩三年先講緊four comma club,race to 1 tillion market cap(美金啦).在呢個世紀疫情呀中美關係冷封呀過兩日核戰呀之中,蘋果就成為人類史上第一間 2 tillion market cap嘅公司。所以optimism is the only answer.悲觀嘅基因會在進化中淘汰。
2. 當然你可以質疑,而家升你梗係咁講。但你自己爬舊文鞭屍,我3月一樣叫你買。仲有人串(真係咩人都有),挑,升又叫買跌又叫買,使撚你講咩。係喎,就係咁簡單。偏偏咁簡單都有人唔知,就係要撚我講
3. 關於蘋果寫過多次,月頭先寫過一次—蘋果咬一口(https://fbook.cc/3EHQ)
4. 蘋果市值2萬億有乜啟示?其實冇乜啟示,預咗。只係時間問題。唔知教主泉下有知開唔開心,不過佢都唔係為錢嘅人—因為佢已經相當有錢。而早排吾友廖博士講開,科技公司嘅嘢,唔好賣咁多畀人。都啱。
5. 但其實都冇所謂,真係講成熟嘅corporate governance (人人都講ESG,你估真係人人都要ESG咩),應該創辦人呀大股東呀全部收皮,專業管理人,CEO係打工仔。添曲咪就係打工仔—不過蘋果都造就到佢變咗billionaire ,美金啦頂。10億美金咯,當然同小朱呀Elon Musk呀1000億冇得比,但,3 comma club喎,全世界應該得兩三千個(https://bit.ly/3kSTIRo)
6. 咁會又有人話馬後炮乜乜乜。但你可以睇返,3月風聲鶴淚個個又話未有疫苗呀仲日日有人死呀經濟有排都好唔返呀而家買貨傻的嗎。但我一直都叫大家唔好沽。冇錢/唔敢買,都千萬唔好人睬人打靶。
7. 仲有,都話工作關係唔買得個股,但,至少我個股票倉位(唔係噸位),由3月低位計,都升咗近6成了。咁當然啦,只計股票,層樓呢半年當然冇乜點升(好似仲要跌),仲有百幾萬在台灣嘛,養草中,呢個一早公開。點解唔買埋台股?不要再說了。開唔到戶口。咁所以只係現水養草收可恥嘅利息,仲要交稅(係!台灣連利息都要抽稅)。
8. 咁你可以話,扯,咪仲要跑輸Nasdaq(係喎,納指升6成幾),扯,我買隻乜乜乜升得仲多啦。係架,要講大把嘢可以講。但至少我已經好過好多人,同埋我好滿意。你要比幾時都有得比,扯,我買中Tesla一年十倍添。
9. 教訓?都係老生常談,但最簡單嘅嘢反而最難。首先,Stay Invested。第二,股市幾時都同實體經濟脫節(況且實體經濟亦都大反彈)。
10. 多少少嘅?就真係,Don’t fight the Fed。既然個個都識講美元霸權(事實),咁點解聯儲局印錢你夠膽估唔work?有話this rally is driven by liquidity, not fundamental. 君在夢中啦。記住。Liquidity is fundamental。好玄?咁簡單啲,你讀CFA Level I,或者任何Finance 101(*)課程都會教,所有證券(股票債券都係)(甚至你份工,或者鐵礦,或者一個專利都係),都係一連串未來嘅income stream,你將佢discount 返今日,咪就係價錢。利息低,你個分子(下面嗰個叫分子)咪自然細,除出嚟條數咪大。
11. 仲唔明?再簡單啲,如果利息高,10厘息一年,你十年後還100蚊畀我,今日呢張借據可能只值70蚊—反正我拎去存款都得。但如果息好低?十年後你還100蚊畀你,呢張借據今日應該值90蚊。
12. 所以,聯儲局壓低晒啲利息,買美債得0.7%回報,人人焗買股票,利好股市。有幾難明?咁大個因素都唔理嘅,就怪你基本功差,只係想問冧把發達,同埋貪心諗埋啲一年升廿倍冇風險嘅嘢。
13. 係喎,都仲要講,蘋果早排先又再集資!(https://bit.ly/2E5sMxa),咁梗係發債唔係批股啦。cost of debt低過cost of equity咁低。用人話講?5年債0.55厘息咋!唔集就笨!用嚟做乜?蘋果等錢使?當然唔等。就係回構嘛!
14. 亦都所以,就算醒少少嘅,拎個net profit 出嚟講,蘋果盈利冇增長。唏,但上市公司,CEO任務係乜呀?唔係profit maximization,而係係shareholder wealth maximization呀!拿,早兩日咪講過咯(https://fbook.cc/3EHR)。咪怪你平日唔睇文。唔好咁功利諗住睇一篇必勝文賺錢嘛,功力係慢慢儲返的。咁點解profit 唔升但shareholder wealth可以升?咪就係回購,股數少咗,每股盈利咪多咗咯!
15. 仲有咩教訓?記住,真係記住。人生如踢波,Ignore the boos. They usually come from the cheap seats。你要記住,如果你聽到嘅聲音,一定係質疑嘅多,所謂「口水put」嘅一定最多。原因好簡單:因為多數人都係冇乜資產的。咁佢當然唔想見到股票升,當然覺得一切係假。況且,佢地錯咗亦冇任何成本。一樣可以大條道理串你:挑,升得嗰六成,買Tesla升十倍啦。挑,得嗰幾億身家(我當然冇,精子就可能有),Jeff Bezos嗰啲先叫有錢咯。You can never win.
16. 事實亦見到如此,唔好又講3月啦,你可以睇下過去十年,幾多人恥笑過蘋果冇創意不思進取食老本?車嚟嚟去去只係靠一招(而家其實兩招)。車,closed system control freak(部份tech 撚鍾意講—但記住,唔好用你自己嘅口味去睇股票)
17. 但我鍾意信報郝承林嘅一句,投資唔係跳水比賽,你唔使向内翻腾3周半轉體抱膝,冇難度分的。使Q有創意?你啲網友就最撚有創意。但人地賺到錢,吹咩。2萬億市值嘅公司,都仲要畀你質疑冇創意唔識run,「畀我就點點點」.當然係你啲網友最撚醒。不過懷才不遇嘛,明嘅。
18. 拿,放到最尾先賣廣告呀,學好基本功,隔日幫你補腦。記住訂本人Patreon。再長遠啲,等我全職寫作為生(你睇死唔得?咁你十年前又估唔估到蘋果有2萬億市值?)
———————————————————
Ivan Patreon 狼耳街華人,一個星期至少三篇,一個月一舊水唔使,一星期已近400人訂,仲有兩篇免費試睇:https://bit.ly/31QmYj7
(*)嚴格嚟講唔係人類史上第一間。除非你覺得沙地阿拉伯人唔係人。沙特阿美Aramco就曾經有2萬億市值,中石油(857)都好似曾經有。但首先真係只係閃一閃,另外,呢兩間公司好大舊股票都冇放出公海trade,含金量低好多。所以呢個位美國人當自己世界第一,合理嘅。
(**)實在埃汾當年在浸會持續變鳩學院都教過,人工實在麻麻地,好似一千蚊堂,搞足兩三粒鐘,未計車錢呀準備呀改卷呀之類。但,我講緊2004年,咁當時我都係萬幾蚊人工。同埋,好多靚女的說,真係巧多。
------------------------------
最新收費影片:點解買金?點樣買金?點解港紙好快會下試7.85?咩公司20年冇減過派息?仲有咩疫情受惠公司少人講?
簡介及以前嘅片(未睇可訂):https://bit.ly/3iYMD0F
報名嘅,課程編號CC007:https://bit.ly/3ahugA3
報完名交咗錢,呢度log in:https://bit.ly/3gYXu9e
之後按最頂「按此觀看」就得
仲搞唔掂嘅,睇埋下面,或者搵客服,或者PM我。
-------------------------------------------------------------------------------
內容:
*美元弱勢,港紙將更弱勢
*紙將將由7.75趺落7.85
*買黃金:美元受壓銀紙亂印
*買黃金的四個實戰方法
*另類疫情受惠股
本星期內特惠售價: $80
課程編號:CC007
觀看期限:首次播放後一星期及限每影片4次
客服whatsapp: 63832145