“Rolls-Royce” แบรนด์รถหรูอังกฤษ ที่บริษัทรถยนต์เยอรมัน แย่งกันซื้อ /โดย ลงทุนแมน
Rolls-Royce ถือเป็นแบรนด์รถยนต์หรูสัญชาติอังกฤษ ที่ดำเนินธุรกิจมายาวนานเกินกว่าร้อยปี
ซึ่งคู่แข่งของแบรนด์นี้ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นก็คือ Bentley แบรนด์รถหรูที่มีต้นกำเนิดจากประเทศเดียวกัน
รู้หรือไม่ว่าทั้ง Rolls-Royce และ Bentley เคยถูกควบรวมเข้ามาอยู่ในบริษัทเดียวกัน
แต่ปัจจุบันแบรนด์รถหรูทั้ง 2 แบรนด์ ต่างมีเจ้าของเป็นบริษัทรถยนต์เยอรมัน
โดย BMW เป็นเจ้าของ Rolls-Royce และ Volkswagen เป็นเจ้าของ Bentley
กว่าจะมาเป็นวันนี้ Rolls-Royce เกิดขึ้นได้อย่างไร
แล้วทำไม Rolls-Royce ถึงไปอยู่ภายใต้ BMW ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Rolls-Royce ก่อตั้งโดย ชาวอังกฤษ 2 คน ที่มีความหลงใหลในรถยนต์
คนแรกชื่อว่า Frederick Henry Royce เขาคนนี้เป็นผู้ที่มีความรู้และเชี่ยวชาญทางด้านวิศวกรรม
และด้วยความที่ Royce ไม่พอใจกับรถยนต์แบรนด์ฝรั่งเศสที่เขาใช้อยู่ในขณะนั้น
เขาจึงได้ตัดสินใจผลิตรถยนต์เป็นของตัวเองชื่อว่า “Royce 10hp”
ในปี ค.ศ. 1904 Royce ได้เจอกับผู้ที่คลั่งไคล้รถยนต์เช่นเดียวกับเขาชื่อ Charles Stewart Rolls ซึ่งเขาทำธุรกิจนำเข้ารถยนต์จากฝรั่งเศส แต่ต้องการขยายธุรกิจ ให้เป็นมากกว่าบริษัทนำเข้ารถยนต์
และเมื่อ Rolls ได้เห็นรถยนต์ของ Royce เขาก็รู้ทันทีว่านี่คือสิ่งที่เขาตามหา
หลังจากนั้น เขาก็ได้ตกลงที่จะร่วมมือกันในการจัดจำหน่ายรถคุณภาพสูงสัญชาติอังกฤษไปทั่วประเทศ
ทั้งคู่จึงได้ก่อตั้ง “Rolls-Royce” ขึ้นมาและออกจำหน่ายรถยนต์รุ่นแรกในปีเดียวกัน ซึ่งผลงานที่สร้างชื่อของแบรนด์ Rolls-Royce คือ การทดสอบวิ่งระยะไกลแบบต่อเนื่องของรถรุ่น 40/50 หรือฉายา Silver Ghost ด้วยระยะทางกว่า 23,000 กิโลเมตร
จากผลงานดังกล่าว ก็ได้ทำให้ Silver Ghost ถูกขนานนามว่าเป็นรถยนต์ที่ดีที่สุดในโลก
ในภายหลัง Silver Ghost ยังถูกเอามาติดตั้งเกราะหนาและปืนกลเพื่อเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 อีกด้วย
ต่อมาในปี ค.ศ. 1925 ก็เกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ทำให้ยอดขายตกต่ำลงอย่างมาก
Rolls-Royce ต้องเอาตัวรอดด้วยการขายทรัพย์สินบางส่วนไปเพื่อที่จะรักษากิจการให้ผ่านช่วงวิกฤติไปให้ได้
แต่ดูเหมือนว่าด้วยวิกฤติเดียวกันนี้ คู่แข่งที่เทียบคู่กันมาอย่าง Bentley ไม่สามารถแบกรับภาระหนี้ที่มีอยู่ไหว จนสุดท้าย Bentley ก็ได้ขายกิจการให้กับ Rolls-Royce ในปี ค.ศ. 1931
ด้วยความที่ทั้ง 2 แบรนด์เป็นแบรนด์รถหรูทั้งคู่และได้มาอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน จึงทำให้ช่วงหนึ่งรถของทั้ง Rolls-Royce และ Bentley มีรูปลักษณ์ที่คล้ายกันมาก ถึงขนาดที่ว่ารถบางรุ่นผู้คนเห็นความต่างกันแค่ตะแกรงหน้ารถเท่านั้น
ในช่วงเวลานี้เอง Rolls-Royce ได้เริ่มการผลิตรถยนต์ที่ออกแบบตามการดีไซน์ร่วมกับลูกค้าซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่
ทำให้ราคาขายของรถไม่มีตัวเลขตายตัวอีกต่อไป เพราะราคาจะขึ้นอยู่กับความต้องการของลูกค้า
ในปี ค.ศ. 1939 สายการผลิตรถยนต์ของ Rolls-Royce ต้องหยุดลงเพื่อไปผลิตเครื่องยนต์ของอากาศยานให้กับกองทัพในช่วงสงครามโลก และด้วยประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ที่บริษัทผลิต เครื่องบินรบของกองทัพอังกฤษได้ถูกกล่าวขานว่ามีเครื่องยนต์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสงคราม เลยทีเดียว
จุดนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นของ Rolls-Royce ที่ได้ขยายธุรกิจจากรถยนต์ สู่เครื่องยนต์อากาศยานในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ตามในปี ค.ศ. 1971 Rolls-Royce กลับมีปัญหาทางด้านการเงินอย่างหนักและถูกบังคับให้ล้มละลาย แต่ด้วยความที่ Rolls-Royce ยังเป็นแบรนด์ในความต้องการของเหล่าเศรษฐี และราชวงศ์ทั่วโลก
เมื่อบริษัทมีปัญหา บริษัทแห่งนี้จึงยังคงมีคุณค่าและเป็นเป้าหมายการเข้าซื้อกิจการจากหลายบริษัท
เริ่มตั้งแต่ในปี ค.ศ. 1980 Vickers บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมเครื่องยนต์
ได้เข้าซื้อกิจการผลิตรถยนต์ของ Rolls-Royce
อย่างไรก็ตาม Vickers ได้ซื้อไปเพียงธุรกิจยานยนต์และความเป็นเจ้าของโรงงานผลิตเท่านั้น
สำหรับสิทธิในการเป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าและโลโกยังคงอยู่กับบริษัท Rolls-Royce
ณ ตอนนั้น บริษัทจึงเหลือเพียงแค่สิทธิ์ของแบรนด์และกิจการผลิตเครื่องยนต์อากาศยาน
ในปี ค.ศ. 1998 เหล่าผู้ถือหุ้นของ Vickers ก็ได้ตัดสินใจขายธุรกิจยานยนต์ดังกล่าวให้กับ Volkswagen
แต่ในการขายกิจการยานยนต์ของ Vickers ไปให้ Volkswagen นั้น ยังมีผู้ผลิตยานยนต์อีกราย
นั่นก็คือ BMW ที่เข้าร่วมประมูลราคาเพื่อซื้อ Rolls-Royce เช่นกัน แต่ก็ต้องแพ้ประมูลไป
ที่ผ่านมา BMW เป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ให้กับ Rolls-Royce หลายรุ่นและการประมูลดังกล่าว
หลายฝ่ายก็ประเมินกันว่า BMW จะได้เป็นเจ้าของ Rolls-Royce อย่างแน่นอน
และเมื่อ BMW พ่ายแพ้การประมูล ทางบริษัทจึงไม่พอใจและได้ประกาศยกเลิกการผลิตเครื่องยนต์
ให้กับ Rolls-Royce ทันที และเรื่องนี้ก็สร้างความปวดหัวให้กับ Volkswagen ไม่น้อย
แต่ BMW ที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ Rolls-Royce มาอย่างยาวนานรู้ว่าสิทธิการใช้เครื่องหมายการค้าอยู่กับอีกบริษัท BMW จึงไม่รอช้าและรีบเจรจาขอซื้อสิทธิ์ดังกล่าว
หลังจากเข้าซื้อสิทธิในการใช้เครื่องหมายการค้าสำเร็จแล้ว BMW ก็ได้ออกมาประกาศทันทีว่า Volkswagen จะสามารถใช้ชื่อแบรนด์ “Rolls-Royce” ได้จนถึงปี ค.ศ. 2002 เท่านั้น
และก็ดูเหมือนว่า BMW จะเป็นฝ่ายได้เปรียบในทันทีที่ถือสิทธิ์ในชื่อ Rolls-Royce
เพราะหลังจากที่บริษัทประกาศเรื่องดังกล่าวออกไป มันก็ได้ส่งผลกระทบไปยังยอดจองรถของ Rolls-Royce และ Bentley ที่ปรับตัวลดลงถึง 30% ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์
จุดนี้ ก็ได้สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคให้ความสำคัญกับแบรนด์เป็นอย่างมาก
โดยผู้บริหารของ Volkswagen เองก็ไม่อยากเสี่ยงกับการขายรถ Rolls-Royce
ที่ไม่มีโลโก ไม่มีแบรนด์ของ Rolls-Royce ติดอยู่ นั่นจึงทำให้ในเวลาต่อมา
Volkswagen ยอมเปิดโต๊ะเจรจากับ BMW และก็จบลงที่ว่า Volkswagen
จะขายสิทธิบัตรและสิทธิอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Rolls-Royce ให้ BMW ทั้งหมด
แต่ก็มีข้อแม้ว่า BMW จะต้องดำเนินการผลิตเครื่องยนต์ของ Rolls-Royce ไปจนถึงปี ค.ศ. 2002 และ Bentley ในบางรุ่นตลอดอายุสัญญา
โดยโรงงานผลิตจะตกเป็นของ Volkswagen และจะต้องปรับสายการผลิตทั้งหมดเพื่อผลิตรถ Bentley เพียงอย่างเดียว และ Volkswagen จะได้ครอบครองแบรนด์ Bently
จุดนี้เองก็ถือเป็นทางแยกของทั้ง Rolls-Royce และ Bentley ที่อยู่ร่วมกันมากว่า 70 ปี
ในขณะเดียวกัน บริษัท Vickers ที่เป็นผู้ซื้อกิจการยานยนต์ของ Rolls-Royce ในตอนแรก
ก็ได้ถูกซื้อกิจการโดย Rolls-Royce ฝั่งที่เป็นธุรกิจเครื่องยนต์อากาศยาน
จากนั้น BMW ก็ได้ก่อตั้งบริษัทผลิตรถยนต์ ภายใต้แบรนด์ Rolls-Royce ขึ้นมาใหม่
ซึ่งในปัจจุบันรถยนต์ Rolls-Royce มียอดจำหน่ายราว 3,000 ถึง 5,000 คันต่อปี
ในขณะที่ ราคาของรถยนต์ก็มีตั้งแต่หลักสิบล้าน ไปจนถึงหลักหลายร้อยล้านบาท
จนถึงตอนนี้ Rolls-Royce เป็นแบรนด์ที่ดำเนินธุรกิจมายาวนานกว่า 117 ปี
ผ่านสงครามโลกมาแล้วถึง 2 ครั้ง
และสามารถพลิกฟื้นจากกิจการที่ถูกสั่งให้ล้มละลายมาได้
ทั้งหมดนี้ จึงถือเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ว่า Rolls-Royce เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่แข็งแกร่งระดับโลก..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
Charles Rolls หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Rolls-Royce มีความชื่นชอบในด้านการบินอย่างมาก
เขาเคยได้ลองขึ้นบินกับสองพี่น้องตระกูลไรต์ และได้ซื้อเครื่องบินกลับมาด้วย 1 ลำ
ซึ่งเขายังเป็นคนแรกที่สามารถบินข้ามช่องแคบอังกฤษแบบไป-กลับ โดยไม่หยุดพักอีกด้วย
แต่สุดท้ายแล้ว Charles Rolls ก็ได้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เครื่องบินตกในปี ค.ศ. 1910 ถือเป็นชาวอังกฤษคนแรกที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางการบิน ทำให้เขาอยู่คู่กับ Rolls-Royce เพียงแค่ 6 ปี เท่านั้น..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.youtube.com/watch?v=MIUB5BhEkR0
-https://www.youtube.com/watch?v=q1nCH7bFDdA
-https://www.bangkoksupercar.com/content/5880/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4-rolls-royce
-https://www.southcoasttoday.com/article/19980704/news/307049965
-https://www.cbsnews.com/news/bmw-buys-rolls-royce-brand-name/
-https://www.nytimes.com/1998/07/29/business/international-business-bmw-to-get-rolls-royce-after-all-by-acquiring-the-name.html
-https://en.wikipedia.org/wiki/Charles_Rolls#cite_note-BBC-6
-https://www.fleetnews.co.uk/news/1998/8/5/bmw-buys-rolls-royce-name-from-vw/3744/
「bmw 2002 wiki」的推薦目錄:
bmw 2002 wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
BYD รถยนต์ไฟฟ้า สัญชาติจีน ใหญ่เป็นรองเพียง Tesla และ Toyota /โดย ลงทุนแมน
ชั่วโมงนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จัก Tesla บริษัทผู้นำนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า
ที่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
หากเรามาดูมูลค่าบริษัทที่มีรายได้จากการผลิตรถยนต์ ที่ใหญ่สุดในโลก 3 อันดับแรกในตอนนี้
อันดับ 1 Tesla มูลค่าบริษัท 24.3 ล้านล้านบาท
อันดับ 2 Toyota มูลค่าบริษัท 7.2 ล้านล้านบาท
อันดับ 3 BYD มูลค่าบริษัท 3.2 ล้านล้านบาท
แน่นอนว่าหลายคนรู้จัก Tesla และ Toyota
แต่หลายคนน่าจะไม่รู้จัก BYD ว่าคือบริษัทอะไร
แล้ว BYD เป็นใครมาจากไหน?
ทำไมถึงมีมูลค่ามาก จนตอนนี้แซงหน้าบริษัทผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่
อย่าง Volkswagen, Daimler, GM รวมถึง BMW
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
BYD ไม่ใช่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากทั้งสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น
แต่เป็นบริษัทจากประเทศจีน ที่ก่อตั้งโดยคุณ Wang Chuanfu ซึ่งเป็นผู้ที่เกิดในครอบครัวชาวนาที่ยากจนในมณฑลอานฮุย ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน ตั้งแต่ปี 1995 หรือราว 26 ปีก่อน
โดยชื่อของ BYD นั้น ย่อมาจาก “Build Your Dream” หรือแปลเป็นไทยว่า “สร้างฝันของคุณ”
สำหรับเรื่องราวของคุณ Wang Chuanfu นั้น
คุณพ่อ คุณแม่ของเขาได้จากเขาไปตั้งแต่ยังเด็ก
ทำให้เขาถูกเลี้ยงมาโดยพี่ชาย และพี่สาวของเขา
การจากไปของพ่อแม่ ทำให้ชีวิตของคุณ Wang Chuanfu ประสบความยากลำบากตั้งแต่เด็ก
เขาต้องขอยืมเงินเพื่อนบ้านเพื่อเป็นทุนในการเรียนหนังสือ
แต่ความยากลำบากตั้งแต่เด็ก ทำให้เขามีความมุ่งมั่นในการเรียนอย่างมาก
จนกระทั่งเขาเรียนจบปริญญาโทจาก Beijing Non-Ferrous Research Institute
หลังจากเรียนจบ เขาทำงานให้กับหน่วยงานวิจัยของรัฐบาลจีนหลายปี ก่อนที่จะออกมาทำงานบริษัทเอกชน ระหว่างนั้นเขาศึกษา และพบว่าอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ในประเทศจีน มีโอกาสจะเติบโตอย่างมากในอนาคต
พอเรื่องเป็นแบบนี้ เขาจึงก่อตั้งบริษัท BYD Company Limited ขึ้นในปี 1995 โดยบริษัทของเขาเริ่มต้นจากการเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน
ในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี BYD สามารถครองส่วนแบ่งมากกว่า 50% ในตลาดผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับโทรศัพท์มือถือ อีกทั้งยังเป็นผู้ผลิตถ่านชาร์จรายใหญ่ที่สุดในประเทศจีน
จุดเปลี่ยนของ BYD เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2002
เมื่อบริษัท BYD ได้ไปซื้อบริษัทรถยนต์ Tsinchuan Automobile เข้ามาเป็นบริษัทลูก
แล้วทำการเปลี่ยนชื่อเป็น “BYD Auto”
ในช่วงแรกนั้น BYD Auto ยังเน้นผลิต และจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันอยู่ โดยรูปลักษณ์รถยนต์ของ BYD นั้นจะเน้นไปที่รูปทรงเหมือนรถยนต์แบรนด์จากญี่ปุ่นและยุโรป
แต่ในปี 2008 BYD Auto สามารถผลิตรถพลังไฟฟ้าแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) คันแรกของโลกได้
โดยใช้ความชำนาญของการเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่มาก่อน มาพัฒนาต่อยอด จนได้รับความสนใจจากผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมอย่างมาก
และเรื่องนี้โด่งดังมาก จนทำให้ในปีดังกล่าว วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนชื่อดังของโลก เข้ามาลงทุนในบริษัท BYD ด้วยมูลค่า 6,920 ล้านบาท
มาวันนี้มูลค่าหุ้นที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถือใน BYD มีมูลค่าสูงกว่า 222,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 3,200% ในระยะเวลาประมาณ 12 ปี ที่เขาเริ่มลงทุนมา
สำหรับ BYD นั้น จากที่เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือรายใหญ่ของโลก
มาวันนี้ BYD ยังเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่
ที่ผลิตทั้ง รถยนต์ไฟฟ้า และรถบัสไฟฟ้า
ถ้าลองมาดูส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปีที่ผ่านมา จากข้อมูลของ McKinsey & Company
1. Tesla 16.2%
2. BYD 10.0%
3. BJEV 7.1%
โดยส่วนใหญ่แล้วรถยนต์ไฟฟ้าของ BYD ถูกวางขายในฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน
ส่วนในประเทศไทย ก็ยังมีการนำเอารถยนต์ของ BYD มาใช้แล้วบ้าง
อย่างเช่น BYD รุ่น e6 ที่ถูกนำมาให้บริการในสนามบินสุวรรณภูมิ
ผลประกอบการของ BYD Company Limited
ปี 2018 รายได้ 566,421 ล้านบาท กำไร 12,900 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 566,361 ล้านบาท กำไร 7,500 ล้านบาท
โดยที่รายได้ของ BYD ในปี 2019 มาจาก
- ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า 49%
- ธุรกิจผลิตและประกอบชิ้นส่วนมือถือ 43%
- ธุรกิจแบตเตอรี่ และแผงโซลาร์เซลล์ 8%
หมายความว่า BYD มีรายได้มาจากการขายรถยนต์ไฟฟ้าเป็นรายได้หลักแล้ว ซึ่งคิดเป็นมูลค่า ประมาณ 277,500 ล้านบาท
ถ้าลองเอารายได้จากการขายรถยนต์ไฟฟ้า มาเทียบกับ Tesla
ในปี 2019 Tesla มีรายได้จากการขายรถยนต์ไฟฟ้า 625,000 ล้านบาท
ก็จะเห็นว่า รายได้จากการขายรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla เป็น 2.3 เท่าของ BYD
ปัจจุบัน BYD Company Limited จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง
และมีมูลค่าบริษัทประมาณ 3.2 ล้านล้านบาท
และก็น่าติดตามว่า
ภายใต้กระแสรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างทุกวันนี้
BYD จะสามารถเติบโตไปกับเทรนด์นี้ ได้ดีมากแค่ไหน ในอนาคต
และมันคู่ควรแล้วหรือไม่ ในการที่มีมูลค่าบริษัทมากกว่าค่ายรถยุโรปทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็น Volkswagen, Daimler, BMW..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://finance.yahoo.com/quote/1211.HK/financials?p=1211.HK
-https://daydaynews.cc/en/emotion/681987.html
-https://en.wikipedia.org/wiki/Wang_Chuanfu
-https://dlmag.com/byd-is-the-worlds-largest-electric-vehicle-maker-5-things-you-should-know-about-byd/
-https://cntechpost.com/2020/10/31/why-did-buffett-invest-in-byd-and-not-tesla/#:~:text=In%20September%202008%2C%20Buffett%20bought,18.6%20times%20the%20original%20investment.
-https://en.wikipedia.org/wiki/BYD_Company
-https://markets.businessinsider.com/news/stocks/warren-buffett-berkshire-hathaway-gain-byd-electric-vehicles-investment-2021-1-1029995920
-https://www.mckinsey.com/industries/automotive-and-assembly/our-insights/mckinsey-electric-vehicle-index-europe-cushions-a-global-plunge-in-ev-sales
-https://www.autodeft.com/deftscoop/byd-e6-taxi-vip-ev-thailand