กรณีศึกษา ดีลซื้อกิจการ ครั้งใหญ่สุดของ Apple /โดย ลงทุนแมน
หากเราพูดถึงดีลการซื้อกิจการระดับแสนล้าน ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในโลก
Microsoft ซื้อแพลตฟอร์มจัดหางาน LinkedIn 8.3 แสนล้านบาท
Facebook ซื้อแอปพลิเคชันแช็ต WhatsApp 6.1 แสนล้านบาท
Amazon ซื้อค้าปลีกรายใหญ่ Whole Foods Market 4.4 แสนล้านบาท
Google ซื้อกิจการ Motorola Mobility 4.0 แสนล้านบาท
ดีลธุรกิจระดับแสนล้านที่กล่าวมา ล้วนกลายเป็นส่วนสำคัญที่เข้ามาเติมเต็มบริษัทเทคโนโลยี
ให้มีประสิทธิภาพและมีบริการที่ครอบคลุมขึ้น
แต่ในรายชื่อที่ว่ามานี้ ยังไม่มีชื่อของ Apple บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
ที่มีมูลค่าบริษัท 71.2 ล้านล้านบาท นั่นก็เพราะว่ากิจการที่บริษัท
ซื้อเข้ามาแพงที่สุดกลับมีมูลค่าไม่แพงมากนัก
โดยบริษัทที่ว่านั้น Apple ได้เข้าซื้อกิจการไปตั้งแต่ปี 2014 หรือราว 7 ปีก่อน
ด้วยมูลค่าเพียง 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 9.5 หมื่นล้านบาท
แล้วบริษัทแห่งนั้น คือบริษัทอะไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
การเข้าซื้อกิจการที่มีมูลค่าสูงสุดของ Apple คือ บริษัทผลิตหูฟังที่มีชื่อว่า “Beats Electronics”
Beats Electronics เป็นบริษัทที่ขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเครื่องเสียง
โดยผลิตภัณฑ์หลัก คือหูฟังและลำโพง
ซึ่งปัจจุบันดำเนินธุรกิจอยู่ภายใต้บริษัท Apple เป็นที่เรียบร้อย
Beats หรือ Beats by Dr. Dre มีที่มาจากแรปเปอร์ชาวอเมริกัน Andre Romelle Young
ที่ในปี 2006 เขากับ Jimmy Iovine ผู้บริหารค่ายเพลงชื่อดัง
ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Beats Electronics
โดยต้องการเป็นผู้ผลิตหูฟังระดับพรีเมียมและได้ทำการเปิดตัว หูฟัง อันแรกในปี 2008
แต่เส้นทางกลับไม่ง่ายอย่างที่พวกเขาคิด
แม้สินค้าจะมีคุณภาพดี แต่ด้วยความที่คนยังไม่รู้จักแบรนด์
และราคาที่แพงถึง 10,500 บาท หูฟังรุ่นแรกที่ผลิตออกมาจึงไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก
จุดเริ่มต้นของ Beats เริ่มขึ้นจากการที่บริษัททำการตลาดผ่านแบรนด์หรือศิลปินที่มีชื่อเสียง
- ในช่วงปี 2009 Beats เปิดตัวหูฟัง Heartbeats โดยมี Lady Gaga ร่วมออกแบบและเป็นพรีเซนเตอร์ โดยเป็นหูฟังแบบ In-ear ที่เน้นความเป็นแฟชั่น
- ปลายปี 2009 ร่วมมือกับ HP โดย HP ทำการเปิดตัว Envy 15 โน้ตบุ๊กที่มาพร้อมกับระบบเสียงจาก Beats ซึ่งเป็นรุ่น Limited Edition โดยปุ่ม “B” ถูกเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์โลโก Beats
- ปี 2012 ได้ร่วมมือกับ Chrysler ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ของสหรัฐอเมริกา เปิดตัวรถยนต์รุ่น 300S ซึ่งมีระบบเสียงจาก Beats
- ปี 2012 เช่นเดียวกัน ได้ทำการแจกหูฟังให้กับนักกีฬาทีมชาติอังกฤษ ในการแข่งขันโอลิมปิกที่กรุงลอนดอน เพื่อให้มีภาพของนักกีฬากำลังใส่หูฟังของ Beats ที่ถูกถ่ายทอดไปทั่วโลก
หลังจากการทำการตลาดอย่างหนัก ทำให้คนเริ่มรู้จักแบรนด์ Beats และเป็นที่ยอมรับมากขึ้น
จนในปี 2012 ส่วนแบ่งการตลาดของ Beats ในตลาดหูฟังระดับพรีเมียมสูงถึง 64%
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญของ Beats เกิดขึ้นเมื่อปี 2012 คือการเข้าซื้อกิจการ MOG ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการแพลตฟอร์มสตรีมมิงเพลง โดยมีสาเหตุการเข้าซื้อก็เพราะว่าทางบริษัทสามารถนำองค์ความรู้ของ MOG เพื่อมาพัฒนาเป็นของตัวเอง
และแล้วต้นปี 2014 “Beats Music” ก็ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
ซึ่งหลังจากเปิดตัวได้ 3 เดือน มีผู้ใช้งานสูงถึง 110,000 ราย
ณ จุดนี้เองที่ไปเข้าตา Apple
เนื่องจากในตอนนั้น iTunes ของ Apple ไม่สามารถสู้กับทาง Spotify ได้เลย
Beats Music จึงเป็นเหมือนคำตอบที่ Apple กำลังตามหา
ในปีเดียวกันนั้นเอง Apple จึงตัดสินใจซื้อกิจการ Beats Electronics ทั้งหมดด้วยมูลค่า 9.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเข้าซื้อกิจการที่มูลค่ามากที่สุดของ Apple ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเลยทีเดียว
คำถามที่ตามมาก็คือ Apple ซื้อ Beats ไป ได้อะไรกลับมาบ้าง ?
เหตุผลที่ Apple ตัดสินใจลงทุนด้วยจำนวนเงินขนาดนี้
ทาง Eddy Cue รองประธานอาวุโสด้านอินเทอร์เน็ตและการบริการของ Apple
ได้ให้เหตุผลแบ่งเป็น 2 ข้อหลัก ๆ ออกเป็น
1. ความสามารถของ Dr. Dre และ Jimmy Iovine
Beats Electronics เกิดขึ้นจากการรวมตัวของ Dr. Dre และ Jimmy Iovine
ซึ่งคนหนึ่งเป็นนักร้องแรปเปอร์ที่ประสบความสำเร็จ อีกคนมีประสบการณ์ด้านดนตรี
ทั้งสองมีความเข้าใจโลกของเพลง เข้าใจว่าผู้คนต้องการฟังอะไร ฟังอย่างไร และฟังในรูปแบบไหน
จึงไม่แปลกใจเลยที่บริษัทเติบโตและมีรายได้สูงถึง 37,692 ล้านบาท ภายในระยะเวลาเพียง 8 ปี
การที่ได้ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับดนตรีเข้ามาร่วมทีม
จะทำให้ธุรกิจใหม่ของ Apple มีความเข้าใจและเลือกที่จะพัฒนา
ผลิตภัณฑ์ได้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น
2. ผลิตภัณฑ์และองค์ความรู้ของ Beats
- แบรนด์หูฟัง Beats ที่มีฐานลูกค้าอยู่ในกลุ่มระดับพรีเมียม
ซึ่งระดับนี้ก็อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของ Apple
- Beats Music คืออีกตัวแปรสำคัญที่ทำให้ Apple ตัดสินใจในครั้งนี้
เพราะต้องการองค์ความรู้เพื่อนำมาพัฒนาสตรีมมิงของตัวเอง
ซึ่งปัจจุบันพัฒนามาเป็น “Apple Music” นั่นเอง
นอกเหนือจากเหตุผลที่ทางรองประธานอาวุโสได้ให้เหตุผลไว้
อีกเรื่องที่ Apple ได้จาก Beats ก็น่าจะเป็นเทคโนโลยีในการพัฒนาหูฟัง
ที่ทางบริษัทได้รุกเข้าสู่ตลาดหูฟังอย่างเต็มตัวครั้งแรกในปี 2016 กับ AirPods
หลังจากการเข้าซื้อกิจการเพียง 2 ปี
ก่อนที่จะปล่อยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็น AirPods หรือ AirPods Max
รวมถึงล่าสุด ที่มีการนำแบรนด์ Beats ไปพัฒนาสินค้ากลุ่ม True Wireless เพิ่มเติม
ปัจจุบัน Apple กลายมาเป็นบริษัทที่แม้จะไม่ได้เป็นบริษัทผู้ผลิตหูฟัง
แต่มีส่วนแบ่งการตลาดหูฟังประเภท True Wireless สูงที่สุดในโลก
โดยในปี 2020 Apple มีส่วนแบ่งในธุรกิจดังกล่าวมากถึง 31%
จากตรงนี้ ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า Beats เองได้กลายมาเป็นส่วนสำคัญ
ที่ทำให้ Apple ประสบความสำเร็จในผลิตภัณฑ์กลุ่มหูฟังรวมถึงการพัฒนาบริการสตรีมมิง
แม้ว่ามูลค่ากิจการที่ Apple จ่ายให้กับ Beats เหมือนว่าจะน้อยกว่า
เมื่อเทียบกับการเข้าซื้อกิจการของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อื่นพอสมควร
แต่ถ้าพูดถึงความคุ้มค่าแล้ว Beats ก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในดีลการเข้าซื้อกิจการที่ประสบความสำเร็จไม่แพ้ดีลไหนในโลก เลยทีเดียว..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://en.wikipedia.org/wiki/Beats_Electronics
-https://en.wikipedia.org/wiki/Beats_Music
-https://www.forbes.com/sites/zackomalleygreenburg/2018/03/08/dr-dres-3-billion-monster-the-secret-history-of-beats-3-kings-book-excerpt/?sh=37bf6d4c258d
-https://www.macthai.com/2014/05/27/history-of-beats-electronics-before-apple-acquisition/
-https://www.latimes.com/business/technology/la-fi-tn-apple-beats-brief-history-20140528-story.html
-https://medium.com/macoclock/why-did-apple-buy-beats-for-3-2-billion-92d3a5cab764
-https://www.reuters.com/article/idUS71812687520120321
-https://www.automotiverhythms.com/chrysler-a-beats-by-dr-dre-partner/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Jimmy_Iovine
-https://www.ukessays.com/essays/marketing/beats-by-dre-marketing-analysis-7363.php
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_mergers_and_acquisitions_by_Apple
-https://www.statista.com/statistics/325991/beats-music/
同時也有4部Youtube影片,追蹤數超過72萬的網紅TAEJK,也在其Youtube影片中提到,BEATS : Viroft beatz ต้นฉบับ : https://www.youtube.com/watch?v=EGeFZHiQhKs สมัครเป็นสมาชิกของช่องนี้เพื่อเข้าถึงสิทธิพิเศษต่างๆ https://www.youtube....
beats คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
Jim Simons จากนักคณิตศาสตร์ สู่ผู้บริหารเฮดจ์ฟันด์ 3 ล้านล้าน /โดย ลงทุนแมน
หากพูดถึงนักลงทุนที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก คนส่วนใหญ่อาจนึกถึง
วอร์เรน บัฟเฟตต์, เรย์ เดลิโอ หรือ จอร์จ โซรอส
แต่ถ้าเป็นชื่อของ “จิม ไซมอนส์” หลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน
เขาคือผู้ก่อตั้งเฮดจ์ฟันด์ Renaissance Technologies
ที่ปัจจุบันมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก
สิ่งที่น่าสนใจคือ กองทุนไม่ได้ใช้วิธีวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
แต่กลับเน้นเก็งกำไรระยะสั้น ตามหลักการทางคณิตศาสตร์
เรื่องราวการลงทุนของชายคนนี้น่าสนใจอย่างไร
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
เจาะลึกแบบ deep content
ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
จิม ไซมอนส์ (Jim Simons) เป็นชาวอเมริกัน เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1938 ปัจจุบันมีอายุ 82 ปี
เขาเรียนจบปริญญาเอกสาขาคณิตศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์
และได้เข้าทำงานเป็นคนถอดรหัสข้อมูลข่าวกรองให้กับสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ
รวมทั้งเป็นอาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยสโตนีย์บรูก ในนิวยอร์ก
เวลานั้น ไซมอนส์กำลังมั่นใจสุดขีด ถ้าเป็นเรื่องตัวเลข เขาเชื่อว่าตัวเองเก่งไม่แพ้ใครแน่นอน
จึงเกิดความคิดว่า ทำไมไม่ลองถอดรหัสตัวเลขในตลาดหุ้น เพื่อทำเงินมหาศาลดูบ้างล่ะ?
ต่อมาเมื่ออายุ 44 ปี เขาตัดสินใจออกมาตั้งบริษัทกองทุนชื่อว่า Renaissance Technologies
แนวทางลงทุนที่ไซมอนส์วาดภาพไว้ในหัว คือการซื้อขายตามสูตรคำนวณเชิงคณิตศาสตร์และสถิติ ที่สามารถคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคตได้
เพราะเขาเชื่อว่า การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ มีรูปแบบที่พิสูจน์ได้ด้วยสมการตัวเลขซ่อนอยู่
และถ้ามันขึ้นลงผิดไปจากปกติที่ควรเป็น ก็อาจมีโอกาสทำกำไรได้
อย่างไรก็ตาม ในตอนแรกที่โมเดลยังไม่สมบูรณ์ บริษัทลองใช้วิธีถือลงทุนระยะยาว
ซึ่งประสบความล้มเหลว ขาดทุนไปถึง 40% จนต้องหยุดพักกิจการชั่วคราว
แต่ไซมอนส์ยังไม่ถอดใจ เขาเร่งศึกษาข้อมูล เพื่อพัฒนาสูตรคำนวณให้สำเร็จ
โดยจ้างนักคณิตศาสตร์ นักฟิสิกส์ และนักสถิติ มาช่วยคิดอีกแรง
จนสุดท้ายเขาก็ประสบความสำเร็จในการหาวิธีที่เหมาะสม..
ในแต่ละวัน Renaissance Technologies จะเก็บข้อมูลต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กับราคาสินทรัพย์กว่าหลายพันกิกะไบต์ เข้ามารวมกับฐานข้อมูลเดิมอีกหลายล้านกิกะไบต์ ตั้งแต่ยุคปี 1700
แล้วใช้อัลกอริทึมคอมพิวเตอร์นำ Big Data เหล่านั้น ไปแทนค่าในสูตรสมการหลายตัวแปร
และคัดกรองสินทรัพย์ที่ราคาเคลื่อนไหวต่างจากรูปแบบปกติ
จากนั้นจะปล่อยให้ระบบ AI (Artificial Intelligence) ทำหน้าที่ซื้อขายโดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันความผิดพลาดจากอารมณ์ความโลภหรือความหวาดกลัวของมนุษย์ ในเวลาที่ราคาผันผวน
เคยมีนักข่าวไปสัมภาษณ์ไซมอนส์ถึงมุมมองต่อตลาดหุ้น
เขาตอบเพียงว่า “ไม่มีความเห็น เพราะคอมพิวเตอร์คือสิ่งที่ให้ความเห็น และเราแค่ทำตามที่มันบอกเท่านั้น”
ด้วยเหตุนี้ Renaissance Technologies จึงกลายเป็นกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ที่เข้าไปเก็งกำไรในสินทรัพย์หลากหลายประเภท และปิดสถานะทันทีเมื่อราคากลับสู่ภาวะปกติ โดยจะถือครองสินทรัพย์เฉลี่ยแค่ราว 2 วัน
ผลปรากฏว่า วิธีนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
กองทุนหลักของบริษัทชื่อว่า Medallion Fund สร้างสถิติผลตอบแทนสูงสุดในวอลล์สตรีต
โดยระหว่างปี 1988-2018 นั้น Medallion Fund ทำกำไรเฉลี่ย 66% ต่อปี
และหลังจากหักค่าธรรมเนียม ก็ยังเหลือผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 39% ต่อปี
แม้แต่ช่วงเดือนมีนาคม 2020 ที่โลกเผชิญกับเหตุการณ์ระบาดของ COVID-19 จนตลาดหุ้นถูกเทขายอย่างหนัก เช่น ดัชนี S&P 500 ติดลบไปราว 12.7% แต่กองทุนนี้กลับมีผลตอบแทนบวก 9.9%
สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นผลมาจากการปรับปรุงข้อมูลและสูตรคำนวณอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ทำให้กองทุน Renaissance Technologies มีกำไรสะสมมากกว่า 3,200,000 ล้านบาท นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกิจการขึ้นมา
และแม้ว่า จิม ไซมอนส์ ได้เกษียณออกจากตำแหน่งบริหารไปเมื่อปี 2010
แต่ด้วยรากฐานที่เขาสร้างไว้ ส่งผลให้ในปัจจุบัน บริษัทเติบโตจนมีทรัพย์สินภายใต้การบริหารถึง 3,500,000 ล้านบาท สูงเป็นอันดับ 2 ของโลก
ขณะที่อันดับ 1 คือ Bridgewater Associates เฮดจ์ฟันด์ของนักลงทุนชื่อดังอย่าง เรย์ เดลิโอ ที่บริหารทรัพย์สินมูลค่า 4,200,000 ล้านบาท
ส่วนตัวของไซมอนส์เอง ก็มีทรัพย์สินร่ำรวยถึง 667,000 ล้านบาท
พร้อมทั้งได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อีกด้วย
เรื่องราวความสำเร็จนี้ พิสูจน์ให้เราเห็นว่า
“ข้อมูล” ถือเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญมาก
ถึงจะครอบครองข้อมูลชุดเดียวกัน แต่หากนำมาใช้ด้วยวิธีที่ไม่เหมือนกัน
คุณค่าและผลลัพธ์ ย่อมแตกต่างกันออกไป
นอกจากนี้ในอนาคต ผู้ที่จะวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คงไม่ใช่มนุษย์ ที่มีขีดจำกัด
แต่เป็นเครื่องจักรไร้อารมณ์ ที่ทำงานได้แม่นยำและรวดเร็วกว่าเราหลายเท่า
อย่างไรก็ตาม
เรื่องเหล่านี้มันก็มาพร้อมกับของจริง และของปลอมที่เกิดขึ้นพร้อมกัน
พอมีเรื่องสำเร็จเหล่านี้
ก็ทำให้ผู้คนต่างแอบอ้างความสามารถในการทำเงินของหุ่นยนต์ AI ที่ตัวเองมีอยู่
ซึ่งความเป็นจริงอาจจะมีเพียงแค่ 1% จากทั้งหมดที่ประสบความสำเร็จจริงๆ
ส่วนอีก 99% ที่เหลือ อาจเป็นแค่เรื่องราวสวยหรูที่แต่งขึ้นมาเท่านั้น..
╔═══════════╗
Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
เจาะลึกแบบ deep content
ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://en.m.wikipedia.org/wiki/Jim_Simons_(mathematician)
-https://en.wikipedia.org/wiki/Renaissance_Technologies
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_hedge_funds
-https://www.cnbc.com/2020/04/17/renaissance-hedge-fund-reportedly-having-one-of-its-best-years-ever.html
-https://www.cnbc.com/2019/11/05/how-jim-simons-founder-of-renaissance-technologies-beats-the-market.html
-https://www.forbes.com/sites/forbesdigitalcovers/2019/11/08/jim-simons-the-man-who-solved-the-market-gregory-zuckerman-book-excerpt/#2b157bc413b6
beats คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
มิลาน กำลังแบกอิตาลีทั้งประเทศ /โดย ลงทุนแมน
นับตั้งแต่วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2008
ประเทศอิตาลีก็ประสบภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวมาโดยตลอด
แม้จะผ่านมาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปีแล้ว
GDP ของอิตาลีในปี 2018 ติดลบ 3.3% จากจุดสูงสุดในปี 2008
แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีเมืองหนึ่งที่มีเศรษฐกิจโตวันโตคืน
GDP ของเมืองแห่งนี้ เติบโตจากปี 2008 อยู่ 6.4%
และหากวัดจาก 5 ปีที่แล้ว GDP ของเมืองแห่งนี้จะเติบโตถึง 9.7%
ไม่ใช่เมืองหลวงที่มีอายุหลายพันปีอย่างกรุงโรม
แต่เป็นเมืองใหญ่ทางตอนเหนือที่มีชื่อว่า มิลาน หรือที่ชาวอิตาลีเรียกกันว่า มิลาโน
มิลานมีดีอะไร ?
ถึงสามารถแบกอิตาลีทั้งประเทศได้
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit ที่สุดของแอปมีสาระ
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ในแง่ประวัติศาสตร์ มิลาน มีชื่อมาจากภาษาละตินว่า Mediolanum
ซึ่งมีความหมายว่า ใจกลางของที่ราบ
เพราะที่ตั้งของเมืองตั้งอยู่ใจกลางของที่ราบลุ่มแม่น้ำโป
ซึ่งเป็นที่ราบขนาดใหญ่ทางตอนเหนือของคาบสมุทรอิตาลี
ด้วยทำเลที่ตั้งที่ดี เชื่อมระหว่างกรุงโรมกับเมืองอื่นๆของยุโรปเหนือ
ทำให้มิลานเติบโตจนกลายเป็นชุมทางการค้าที่สำคัญของคาบสมุทรอิตาลี
แม้แต่ยามที่กรุงโรมและจักรวรรดิโรมันล่มสลาย
จนเมื่อถึงยุคเรอเนซองซ์ ราวคริสตศตวรรษที่ 15
มิลานกลายเป็นศูนย์รวมของพ่อค้า นายธนาคาร
ความร่ำรวยทำให้เหล่าพ่อค้าต้องการศิลปินเพื่อสร้างสรรค์ผลงานให้ตัวเอง
มิลานจึงกลายเป็นแหล่งรวมของศิลปินและนักออกแบบ และเติบโตจนกลายเป็นนครรัฐที่ยิ่งใหญ่อยู่หลายศตวรรษ
หลังจากมีการรวมแคว้นและนครรัฐต่างๆ จนเกิดเป็นประเทศอิตาลีในปี ค.ศ. 1861
และกรุงโรมได้รับเกียรติให้เป็นเมืองหลวง
ทำให้ถนนแทบทุกสายมุ่งหน้าสู่กรุงโรมอีกครั้ง
โดยเฉพาะสายการปกครอง สายศาสนา และการท่องเที่ยว
แต่ไม่ใช่สำหรับถนนสายเศรษฐกิจ..
มิลาน ซึ่งปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของแคว้นลอมบาร์ดี หรือ Lombadia ในภาษาอิตาลี
เป็นที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์เพียงแห่งเดียวในอิตาลี คือ Borsa Italiana
ธนาคารที่มีสินทรัพย์มากที่สุดของอิตาลี Unicredit ซึ่งมีสินทรัพย์กว่า 27 ล้านล้านบาท
ก็มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองแห่งนี้
มิลานคือศูนย์กลางการเงินของอิตาลี
เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของธนาคารและบริษัทประกันภัยหลายแห่ง
นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของอุตสาหกรรมยานยนต์
รถยนต์ Alfa Romeo ก็มีต้นกำเนิดมาจากเมืองนี้
นอกจากยานยนต์ ยังมีอุตสาหกรรมยา สื่อมวลชน และสิ่งพิมพ์
ด้วยภาคการเงินและอุตสาหกรรมการผลิตที่แข็งแกร่ง
ส่งผลให้มิลานและเขตปริมณฑล หรือ Grande Milano
ที่มีอาณาเขตครอบคลุมประชากรรวม 4.2 ล้านคน
สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 6.7 ล้านล้านบาทในปี 2017
มิลานจึงเป็นเมืองใหญ่ ที่มี GDP ต่อหัวมากที่สุดของอิตาลี คือปีละ 1,595,000 บาท
มากกว่า GDP ต่อหัวของชาวอิตาลีเกือบ 2 เท่า
หากรวมแคว้นลอมบาร์ดี ซึ่งเป็นแคว้นที่มีมิลานเป็นเมืองหลวง
จะมีขนาด GDP ถึง 14 ล้านล้านบาท คิดเป็น 20% ของ GDP ประเทศอิตาลี
แต่นอกจากเรื่องการเงิน
หนึ่งในอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้ให้กับมิลานมากที่สุด
ก็คือ “อุตสาหกรรมแฟชั่น”
การเป็นศูนย์รวมของพ่อค้าและศิลปินมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15
ทำให้มิลานกลายเป็นศูนย์กลางของการออกแบบเครื่องแต่งกาย มีสถาบันศิลปะและการออกแบบที่มีชื่อเสียง สร้างดีไซเนอร์ระดับโลกมากมาย
หากลองนึกถึงแบรนด์เครื่องแต่งกายหรูจากอิตาลี เกือบทั้งหมดล้วนมีต้นกำเนิดมาจากมิลาน
ทั้ง Giorgio Armani, Prada, Versace, Dolce&Gabbana, Ermenegildo Zegna,
Bottega Veneta และ Moschino
แม้แต่แบรนด์แว่นตาชั้นนำ ทั้ง Ray-Ban และ Oakley ซึ่งเป็นของบริษัท Luxottica
บริษัทนี้ก็มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่มิลาน
แบรนด์เหล่านี้สร้างชื่อเสียงให้กับมิลานจนกลายเป็นเมืองระดับ Big 4 ของวงการแฟชั่นโลก
งานมิลานแฟชั่นวีก กลายเป็นสถานที่รวมดีไซเนอร์และนักท่องเที่ยวผู้หลงใหลในเสน่ห์ของดีไซน์อิตาลี
วงการแฟชั่นและแบรนด์หรูที่เติบโตได้ดี ดึงดูดเงินจากนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักทั่วทุกมุมโลก
สร้างรายได้มหาศาลให้กับมิลาน
ความคึกคักทางเศรษฐกิจดึงดูดแรงงานเข้ามาทำงานในมิลานมากขึ้นเรื่อยๆ
อัตราว่างงานในมิลานอยู่ที่ 8% ส่วนอิตาลีอยู่ที่ 12%
โดยแรงงานส่วนใหญ่อพยพมาจากแคว้นทางตอนใต้ของอิตาลี
ประเทศอิตาลีมีความแตกต่างทางเศรษฐกิจระหว่างแคว้นทางเหนือกับแคว้นทางใต้มานับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งประเทศ
แคว้นทางเหนือ เป็นที่ตั้งของเมืองอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะมิลาน
มีอุตสาหกรรมก้าวหน้า ทั้งการเงิน แฟชั่น ยานยนต์ และการท่องเที่ยว
เศรษฐกิจที่หลากหลายทำให้ผู้คนมีฐานะร่ำรวย
ในขณะที่ผู้คนในแคว้นทางภาคใต้ ซึ่งมีเมืองสำคัญอย่างเนเปิลส์ และปาแลร์โม
กลับมีฐานะยากจนกว่า เพราะมีรายได้หลักมาจากภาคเกษตรกรรมและการท่องเที่ยว
และถูกรุมเร้าด้วยปัญหาการว่างงานและอัตราอาชญากรรมที่สูง
ทำให้แรงงานต้องอพยพไปยังภาคเหนือเพื่อหางานทำ
นอกจากนั้นแคว้นทางภาคใต้ยังถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาการคอร์รัปชัน มาเฟียท้องถิ่น และจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แล้วปัญหาก็เกิดขึ้น เมื่อผู้คนในแคว้นลอมบาร์ดีซึ่งเมืองมิลานตั้งอยู่
เริ่มรู้สึกว่าภาษีที่ตัวเองจ่ายให้ส่วนกลางกว่า 2 ล้านล้านบาท
ถูกนำไปถมให้กับปัญหาเรื้อรังทางภาคใต้ มากกว่านำมาใช้ประโยชน์ต่อการลงทุนในท้องถิ่น
การลงประชามติเพื่อขออำนาจในการปกครองตนเองของแคว้นลอมบาร์ดีในเดือนตุลาคม ปี 2017 จึงเกิดขึ้น ทั้งที่ผู้มาเข้าร่วมมีไม่ถึง 40% ของทั้งแคว้น
แต่กว่า 95% ของผู้ลงประชามติ ก็ให้การสนับสนุนกับการปกครองตนเอง
แม้การลงประชามติครั้งนี้ จะเป็นไปเพื่อต่อรองกับทางกรุงโรม เพื่อขออิสระในการจัดการบริหารเงินภาษี มากกว่าที่จะขอแบ่งแยกประเทศ
แต่ประเด็นนี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ..
ในประเทศอุตสาหกรรมชั้นแนวหน้าของโลก มีระบบรัฐสวัสดิการที่ครอบคลุมอย่างอิตาลี
ยังมีความเหลื่อมล้ำที่เห็นได้ชัดเจน
ช่องว่างระหว่างแคว้นทางเหนือที่ร่ำรวย กับแคว้นทางใต้ที่ยากจน เริ่มห่างกันมากขึ้นทุกที
หากยิ่งคำนึงถึงหนี้สาธารณะของประเทศที่มีสูงถึง 131% ของ GDP
อนาคตของสาธารณรัฐอิตาลี ซึ่งเพิ่งรวมประเทศกันมาได้เพียง 159 ปี ก็อาจสั่นคลอนได้
ล่าสุดจากเหตุการณ์พบผู้ป่วย COVID-19 ในแคว้นลอมบาร์ดีจำนวนมาก ก็ยิ่งเป็นที่น่าจับตาว่าจะกระทบเศรษฐกิจของเมืองมิลานขนาดไหน
และถ้ามิลานเป็นอะไรไป
ก็อาจหมายความว่า
มิลานจะแบกอิตาลีทั้งประเทศต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว
และสุดท้ายผู้ที่ได้รับผลกระทบ
ก็คือทุกคนในอิตาลี นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit ที่สุดของแอปมีสาระ
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.thelocal.it/20170222/milan-should-be-the-new-capital-of-italy-beats-rome-business-economy-culture
-https://europe.uli.org/wp-content/uploads/sites/127/ULI-Documents/Milan-and-Turin-Competitiveness-of-Italys-great-northern-cities-Web.pdf
-https://www.theguardian.com/cities/2019/nov/10/how-europes-cities-stole-continents-wealth
-https://www.ft.com/content/cfb822ea-9307-11e7-a9e6-11d2f0ebb7f0
-https://www.bbc.com/news/world-europe-41712263
beats คือ 在 TAEJK Youtube 的最讚貼文
BEATS : Viroft beatz
ต้นฉบับ : https://www.youtube.com/watch?v=EGeFZHiQhKs
สมัครเป็นสมาชิกของช่องนี้เพื่อเข้าถึงสิทธิพิเศษต่างๆ
https://www.youtube.com/channel/UCVpdQa9XD9fK7s6xYG7RZYg/join
สวัสดีครับเนื้อหาคลิปนี้ คือ :
กลุ่ม : https://www.facebook.com/groups/1033476250134849/
ติดตาม Facebook : https://www.facebook.com/taejk.tv/
![post-title](https://i.ytimg.com/vi/a0LHEJhf9b0/hqdefault.jpg)
beats คือ 在 สอนใช้ ง่ายนิดเดียว Youtube 的最佳貼文
ข่าวดีสำหรับเพื่อนๆ ที่รอคอยกันมานานครับ เพราะ Apple เพิ่งเปิดบริการใหม่ล่าสุด Apple Care+ สำหรับอุปกรณ์หูฟังของ Apple หลังจากเปิดตัว iPhone 11, iPhone 11 Pro และ iPhone 11 Pro Max นี่เองครับ และที่สำคัญเปิดให้บริการในไทยแล้วครับ ด้วยราคาและความคุ้มครองที่สุดคุ้ม ไปชมกันเลยครับ ?
? ติดต่อเรื่องงาน sawadeetutor@gmail.com
▶️ กดติดตามได้ที่นี่ครับ (ฟรี) ? https://goo.gl/LnkBtv
? Facebook : fb.me/ipophowto
? Twitter : https://twitter.com/pophowto
? แท็บชุมชนของสอนใช้ง่ายนิดเดียว : http://bit.ly/communityyoutube
#วิธีซื้อAppleCare+สำหรับหูฟัง
#วิธีซื้อAppleCare+AirPods
#วิธีซื้อAppleCare+Beats
?️ Background cover designed by Freepik.
▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬▬
เนื้อหาอื่นๆ ที่น่าสนใจสำหรับ iPhone, iPad และ iPod touch
? iOS 13 เครื่องรุ่นไหน อัพเดตได้ ดูได้ที่นี่...ชัวร์ ประกาศเป็นทางการแล้ว
https://www.youtube.com/watch?v=oEUTLcfcTfU&list=PLQBBpHI-CU2RScraA1tGju1qTsKGi55nC&index=2&t=0s
? iOS 13 Dark Mode สวย น่าใช้มาก แถมประหยัดแบตเตอรี่ ต้องใช้! | สอนใช้ง่ายนิดเดียว
https://www.youtube.com/watch?v=_DljCvzQ-Xw&list=PLQBBpHI-CU2RmsgYMn-PPNkL-rgwhLt1o&index=18&t=0s
? เพิ่ม FaceID ปลดล็อคด้วยใบหน้าบน iPhone 5s, 6, 6 Plus, 7, 7 Plus, 8 และ iPhone 8 Plus ง่าย ดี ฟรี
https://www.youtube.com/watch?v=hcfq8TXAcmY&list=PLQBBpHI-CU2ReSXZ8Ykb1_x1IKkG1pyqD&index=2&t=0s
? ลืมรหัสผ่าน Apple ID ของ iPhone และ iPad รีเซ็ตตั้งใหม่ได้ใน 1 นาที! : https://youtu.be/KKjZ3QQPTbI
? [2019] วิธีแก้ล็อค ปลดล็อค iPhone / iPad ติดรหัสผ่าน ง่ายๆ ทำเองได้ ไม่เสียตังค์ : https://youtu.be/5gFO-8Q9k6M
? 4 วิธีชาร์จแบตเตอรี่ iPhone ให้เร็วขึ้น แบตเต็มไว ทำเองได้ง่ายๆ :
https://www.youtube.com/watch?v=tS2Hh9V6orE&list=PLQBBpHI-CU2QljZApcbKwlWsX89x_9KJ0&index=10&t=0s
![post-title](https://i.ytimg.com/vi/5gLzUSUW_lU/hqdefault.jpg)
beats คือ 在 kangg Youtube 的最佳貼文
สายชาร์จและอะแดปเตอร์ จากแบรนด์ Energea และ Uniq ตอนนี้มีเข้ามาหลายรุ่นเลยนะครับ ซึ่งการรับประกันในส่วนของสายชาร์จก็มีตั้งแต่ 3 ปี 5 ปี และสูงสุดในบางรุ่นคือ 10 ปีกันเลยทีเดียว
ซึ่งสายชาร์จตอนนี้ก็มีแบบ USB-C to Lightning เข้ามาจำหน่ายแล้วด้วย ตรงนี้ก็เหมือนอันล็อคเรื่องว่าไม่จำเป็นต้องซื้อสายชาร์จ USB-C to Lightning อย่างเดียวอีกต่อไปแล้วครับ
ส่วนอะแดปเตอร์ต่าง ๆ ของทาง UNIQ ผมชอบตัวสุดท้ายในวิดีโอสุดแล้วครับ ฮ่า ๆ พอได้ใช้ก็ไม่คิดอะไรมาก แต่พอตอนคืนของไปปุ๊บ โอ้โห..เป็นเรื่องเลยครับ รู้สึกไม่สะดวกที่จะต้องมาเสียบอะแดปเตอร์แยกเป็นอัน ๆ ไป
---------------------------------------
บริษัท อาร์ทีบี เทคโนโลยี จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้า Gadget รายใหญ่ในประเทศไทย ยกขบวนหูฟัง สุดฮิตราคาพิเศษ จากแบรนด์ชื่อดัง มาจำหน่ายในงานมหกรรมโทรศัพท์มือถือ Thailand Mobile Expo 2019 พร้อมโปรโมชั่นแรง พร้อมของสมมนาคุณ นอกจากนี้ พบกับหูฟังระดับ Intelligence ที่ล่ารางวัลมาแล้วมากมาย รุ่นใหม่ล่าสุดจาก Jabra รุ่น Elite 85H มาพร้อมกับระบบ AI ยิ่งใช้งานยิ่งฉลาด เพราะสามารถปรับเสียงตามสภาพแวดล้อมได้โดยอัตโนมัติ
โดยในงานจะได้พบกับหูฟังสุดล้ำที่นักฟังเพลงต้องชื่นชอบ อาทิ Jabra, B&O ,audio-technica ,beats by dr.dre ,Master & Dynamic , Sony และหูฟังระดับสุดยอดที่คอเกมเมอร์ชื่นชอบคือหูฟังจาก Steel series นอกจากนี้ พบกับหูฟัง True Wireless หลากหลายรุ่นจากแบรนด์ชั้นนำอาทิ Jabra, B&O, audio-technica และ Master & Dynamic ยกขบวนสินค้ามาลดราคาแรง!! พร้อมของแถม เอาใจขาช้อปในงาน
พิเศษสุดพบกับไฮไลท์ ที่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง!
· การวางจำหน่ายครั้งแรกในประเทศไทย ของ Jabra Elite 85H หูฟังอัจฉริยะ มาพร้อมกับระบบ Smart Active Noise Cancellation และ AI สามารถปรับเสียงตามสภาพแวดล้อมได้โดยอัตโนมัติ และจะจดจำการใช้งานของเรา นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบรับสายและวางสายโทรศัพท์ให้โดยอัตโนมัติ มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี คือ สีดำ Black, สีเบจ Beige และสีน้ำเงิน Navy ราคาวางจำหน่าย 10,990 บาท
· พิเศษซื้อหูฟัง True Wireless ของ Jabra รุ่นใดก็ได้ รับฟรี Power Bank จากแบรนด์ Energea มูลค่า 2,190 บาท
· หูฟัง audio-technica แบรนด์หูฟังอันดับหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น จัดราคาพิเศษ ลดสูงสุด 50%
· พบกับหูฟังและลำโพงคุณแพง ระดับ Hi-end จากแบรนด์ Bang & Olufsen พร้อมดีลพิเศษ
· หูฟัง beats by dr.dre มีโปรโมชั่น ลดพิเศษให้ชาว beats ลดราคาพิเศษ 34-49%
· สินค้าหูฟัง Sony ราคาพิเศษ ลดสูงสุด 40% พร้อมด้วยลำโพง Sony ราคาพิเศษ แถมกระเป๋าลำโพง
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสำหรับพลพรรคที่ชื่นชอบการฟังเพลงให้ได้ลองสัมผัสกับประสบการณ์การทดลองฟังเสียง หูฟัง พรีเมียมระดับตำนาน Audio-technica รุ่น ATH-L5000 เป็นรุ่น Limited Edition ที่มีมูลค่า 145,000 บาท ซึ่งหาฟังได้ยาก และที่เป็นที่ชื่นชอบของนักสะสมหูฟัง เพราะคือหูฟังที่เป็นสุดยอดแห่งการออกแบบและวิศวกรรมหูฟังทำมือแบบฉบับญี่ปุ่น มีคุณภาพยอดเยี่ยมโดยมาคู่กับสุดยอดแอมป์ AT-HA5050H ของ Audio-technica ที่มีมูลค่า 239,000 บาท ของ Audio-technica ที่ยอมรับว่าทั้งคู่คือที่สุด ที่นักฟังหลงไหล อยากครอบครอง นอกจากนี้ ยังมีหูฟังอื่นๆ ที่นักฟังเพลงต้องชื่นชอบ เช่น หูฟัง Over ear แบบ Open Back ของ Audio Technica รุ่น ATH-ADX5000 มีมูลค่า 75,000 บาท
แล้วพบกันกับสินค้าราคาพิเศษ จาก RTB Technology ที่ยกขบวนหูฟังแบรนด์ชื่อดัง มาจำหน่ายในงานมหกรรมโทรศัพท์มือถือ Thailand Mobile Expo 2019 พร้อมโปรโมชั่นแรง พร้อมของสมมนาคุณ พบกันระหว่างวันที่ 30 พฤษภาคม - 2 มิถุนายน นี้ ที่บูธหมายเลข M10 ฮอลล์ EH98-99 ณ ศูนย์การประชุมไบเทค บางนา
![post-title](https://i.ytimg.com/vi/Tycm_ete2b4/hqdefault.jpg)