วันนี้ Memory ขึ้นมาเตือน
ครบรอบ 6 ปี
จัดสัมมนาใหญ่ครั้งแรก..!!
ตอนนั้นยังไม่มีพนักงานเลย
มี 2 คนทำด้วยกัน
คือ
เอ๋
กับ
อภัยลักษณ์
.
จัดงานนี้
มีลูกศิษย์ ทั้งหมอ
นักธุรกิจ จิตแพทย์ ผู้พิพากษา
นักบัญชี มาช่วยวิ่งแจกเอกสาร
ลูกศิษย์อีก 2 คน
มาเป็นพิธีกร
ทำงานจนไม่ได้นอน
ขึ้นเวทีใหญ่จบงาน
ก็บินไปสอนต่อได้เฉยๆ
.
หันกลับไปดู
ทำเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว..!!
เวลาผ่านไปเร็ว
หรืออายุมากขึ้นไวนะ..??!!
..
..
อยาก repost #เตือนตัวเอง
ว่า..
..
วันนี้
โลกหมุนเร็ว
ไม่ใช่โลกใบใหม่
แต่ใบเดิมไม่มีอีกแล้ว
.
ทุกอย่างจะ #FreeForm
#ไร้กระบวนท่า
#โลกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
#ไร้ตำรามุ่งหน้าทำอย่างเดียว
..
..
========
โพสนี้เขียนเมื่อ
24 พค 2015
6 ปีที่แล้ว..
เอามา #แปะใหม่
ไว้เตือนตัวเอง
=========
..
..
งานนี้เป็นงานวัดใจ
ที่ทำให้เอ๋ได้เติบโตไปอีกขั้น..
เป็นงานที่ทำเลี้ยงเดี่ยวมาทั้ง
Marketing, Sales, PR
Working team
และบัญชี
รวมทั้งทำ Audio CD, Poster, เสื้อยืด..
อื่นๆอีกมากมายไปพร้อมกัน
ยังไม่รวมการวางแผนงานครั้งหน้า
"โชคดี 24 ชม" ที่ต้องเตรียมในปีเดียวกัน
.
ความท้าทายอยู่ที่
รื้องานขึ้นมาทำใหม่ทั้งหมด
ใน 2 อาทิตย์สุดท้ายก่อนงานเริ่ม
เพราะเพิ่งมาทำความเข้าใจ
และทำใจได้ว่า project manager ที่เราจ้างและรับเงินเราไปแล้วส่วนหนึ่งรับงานซ้อนและทิ้งงานเราไปแล้วจริงๆโดยไม่บอกกล่าว ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆให้เราตามงานได้ รู้สึกผิดหวัง เสียใจ แต่เราต้องเดินหน้าต่อไป พยายามคิดว่าจักรวาลคงตั้งใจส่งปัญหาและอุปสรรคต่างๆเพื่อมาทดสอบเรา
ใน 2 อาทิตย์สุดท้ายตอนนั้นสอนอยู่ระยอง 2 วัน
บอกกับตัวเองเลยว่า
จะทำทุกวิถีทาง
ให้ถึงที่สุดเพื่อให้งานนี้เกิดขึ้นให้ได้
ได้เรียนรู้หลายอย่าง
สำคัญที่สุดได้เรียนรู้การชนะใจตัวเอง
ชนะอารมณ์ตัวเอง เป็นช่วง
พลังจี๊ด 2 อาทิตย์สุดท้ายที่ต้องสอนอีกหลายคอร์ส ต้องอัดรายการวิทยุ, ทำ Audio CD, sponsor, ออกแบบงานหน้า, preview, ออกรายการ, calling..etc..
ขอบคุณการเรียนรู้ครั้งนี้ ขอบคุณอีกครั้งสำหรับทุกๆพลังใจ..
แล้วพบกันงานหน้า..
24-05-2015
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
sales manager คือ 在 อายุน้อยร้อยล้าน Facebook 的最讚貼文
10 นักขายบันลือโลก ตำนานที่ทรงอิทธิพลที่สุดตลอดกาล
.
ถ้าคุณอยากเป็นนักขายมืออาชีพที่ประสบความสำเร็จ มียอดขายทะลุเป้าทุกเดือน อย่าหยุดที่จะพัฒนาตัวเอง เพราะนักขายที่ดี จะไม่ปล่อยให้เวลาที่มีนั้นสูญเปล่า ซึ่งการเรียนรู้ความสำเร็จจากบุคคลต้นแบบที่ประสบความสำเร็จจริง ๆ เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่นักขายทุกคนควรนำมาเป็นแบบอย่าง เรียนรู้เคล็ดลับ ตลอดจนประสบการณ์ต่างๆ ที่พวกเขาเจอ วันนี้เราจึงนำเอานักขายในตำนานทั้ง 10 ท่านที่ต้องบอกว่าไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน กี่ปี กี่ยุคสมัย พวกเขาเหล่านี้ก็ยังถูกพูดถึงและเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลตลอดกาล
.
1. John H. Patterson (บิดาแห่งต้นแบบระบบฝึกอบรมการขายของโลก)
หากไม่มีเขาคนนี้ ขั้นตอนการขายที่ถูกวิธีสำหรับนักขายทั่วโลกอาจไม่เกิดขึ้น เขาคือผู้ก่อตั้งและ CEO ของบริษัท National Cash Register Company
เป็นผู้พัฒนาระบบฝึกอบรมการขายที่ทันสมัย คิดค้นสร้างระบบการขายรูปแบบบริษัท ทั้งยังเป็นต้นแบบของโค้ชการขายทั่วโลก เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการคนแรก ๆ ที่จัดโครงการฝึกอบรมการขาย
โดยฝึกพนักงานขายพร้อมด้วยสคริปต์ และกำหนดขั้นตอนการขายออกเป็น 4 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ แนวทางเริ่มต้นการขาย, การสร้างข้อเสนอ, การสาธิตสินค้า และ การปิดการขาย
ซึ่งขั้นตอนการขายข้างต้น คือต้นแบบของนักขายทั่วโลกที่นำมาใช้จนถึงทุกวันนี้
.
2. David Ogilvy (ตำนานแห่งวงการโฆษณาโลก)
หากพูดถึงบริษัทโฆษณาระดับโลก ไม่มีใครไม่รู้จัก “Ogilvy & Mather” ซึ่ง David คือผู้ก่อตั้งและเป็น CEO ของบริษัทนี้ เขาเป็นคนที่มีความสามารถในการสื่อสารด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและทะเยอทะยาน จนได้รับฉายาจากนิตยสาร Time ว่า “พ่อมดแห่งวงการโฆษณา”
ปัจจุบันนักโฆษณารุ่นหลังยังคงนำเคล็ดลับความสำเร็จของเขา มาเป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจในการทำโฆษณา “เขียนอย่างไรให้ขายได้”
โดยตัวอย่างเทคนิคของ David ได้แก่ อ่านหนังสือของ Roman-Raphaelson ชื่อ book on writing , เขียนให้เป็นธรรมชาติ, สั้นกระชับ, อย่าใช้คำเฉพาะกลุ่ม, อย่าเขียนเกินสองหน้ากระดาษ, ตรวจเครื่องหมายคำพูด, อะไรที่สำคัญ เรียกเพื่อนร่วมงานมาช่วยปรับปรุง, ก่อนส่งงาน ทำให้แน่ใจก่อนว่าสิ่งที่สื่อสารกระตุ้นผู้บริโภคหรือไม่
.
3. Mary Kay Ash (เจ้าแม่แห่งการขายตรงด้านความงาม)
ผู้หญิงคนนี้คือตำนานด้านความงามของผู้หญิงอย่างแท้จริง เคยได้รับการเสนอชื่อให้เป็นหนึ่งในสตรีที่เป็นสตรีแห่งศตวรรษโดยนิตยสาร USA TODAY ทั้งยังเป็นผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Mary Kay Cosmetics ปัจจุบันคือ Mary Kay Inc.
ซึ่งต้องบอกว่า เรื่องราวของเธอไม่ได้สวยงาม แต่เกิดขึ้นจากความโกรธที่เปลี่ยนชีวิตเธอและผู้หญิงทั่วโลก
เป็นหนึ่งในนักขายที่ประสบความสำเร็จ แต่กลับลาออกขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้ดี เพราะนักขายผู้ชายที่เธอฝึกฝนให้ได้รับการเลื่อนตำแหน่งและได้เงินเดือนมากกว่าเธอ ในตอนแรกเธอวางแผนเขียนหนังสือเกี่ยวกับการขายเพื่อสร้างเงินจากค่าลิขสิทธิ์ แต่กลายเป็นว่า หนังสือเกี่ยวกับการขายตรงของเธอได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทั้งแผนธุรกิจ วิธีการเกี่ยวกับความงามและเครื่องสำอางสำหรับผู้หญิง อีกทั้งยังเป็นผู้คิดค้นการจ่ายค่าตอบแทนแบบ Incentive เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการขาย และกลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้หญิงที่ต้องการทำธุรกิจแบบไม่ต้องลงทุนมากนัก
.
4. Dale Carnegie (ตำนานแห่งหลักสูตรการพัฒนาตัวเอง)
ผู้ก่อตั้งสถาบันเพื่อการปราศรัยที่มีประสิทธิภาพและมนุษยสัมพันธ์ Dale Carnegie Institute และสถาบันฝึกอบรม Dale Carnegie Training องค์กรระหว่างประเทศที่มีสำนักงานในกว่า 80 ประเทศ โดยมีผู้ฝึกสอนรวมกว่า 2,800 คน
เขาได้พัฒนาทักษะและศักยภาพในตัวบุคคลและองค์กรมาแล้วทั่วโลก โดยยึดหลักการที่อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงว่า “การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงจากภายใน” ซึ่งกว่า 100 ปีที่ผ่านมา หนังสือที่เขาเขียนทั้งหมดต่างได้รับความสนใจจากผู้คนเป็นอย่างมาก มีการตีพิมพ์มาแล้วกว่า 50 ล้านเล่ม โดยเฉพาะหนังสือ “How to Win Friends and Influence People” แนะนำให้ผู้อ่านเป็นนักสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม สำหรับใครที่ต้องการชนะใจเพื่อน คนรอบข้าง หรือลูกค้า ก็ไม่ควรพลาดหนังสือเล่มนี้
.
5. Joe Girard (สุดยอดนักขายรถยนต์อันดับหนึ่งของโลก)
สุดยอดนักขายรถยนต์และรถบรรทุกเพียงคนเดียวที่สามารถขายรถได้วันละ 6 คัน ทุกวัน ติดต่อกันเป็นเวลากว่า 12 ปี จนได้รับการยกย่องให้เป็น “The World’s Greatest Salesperson” จาก Guinness Book of World Record
เขาได้ค้นพบเคล็ดลับความสำเร็จว่า “เพียงแค่คุณเชื่อมั่นในตัวเองว่า “คุณ” คือสินค้าที่ดีที่สุดในโลก คุณก็จะประสบความสำเร็จในอาชีพอย่างมั่นคง”
นอกจากนี้เขายังเป็นผู้เขียนหนังสือด้านการขายที่เน้นการขายตัวเองให้เป็นที่ปรึกษาให้ลูกค้าอย่างมืออาชีพโดยใช้วิธีการ “ตั้งคำถาม” ที่ดี เพื่อให้ลูกค้าได้แชร์สิ่งที่คิดในใจให้เราได้รับรู้ ทำให้นักขายสามารถเอาชนะใจลูกค้าได้ไม่ยาก
.
6. Steve Jobs (อัจฉริยะผู้พลิกโลกแห่งวงการไอที)
หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Apple บริษัทที่พัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาจนทำให้โลกของไอทีเปลี่ยนไป ซึ่งอุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ ที่เขาได้คิดค้นขึ้น ก็มักได้รับความนิยมจากคนทั่วโลกอย่างล้นหลาม ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน, คอมพิวเตอร์, แล็ปท็อป, แท็บเล็ต เป็นต้น
ซึ่งการขายที่ประสบความสำเร็จของเขา ส่วนหนึ่งก็มาจากบุคลิกในการนำเสนอ ด้วยภาพลักษณ์การแต่งตัวง่ายๆ เสื้อยืดคอเต่า ยืนพรีเซนต์สินค้าอยู่บนเวที แต่สามารถสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่โลกเคยมีมา
โดยกฎแห่งความสำเร็จที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จและแตกต่างจากนักธุรกิจทั่วไป คือ ใช้ชีวิตอย่างไร้ขีดจำกัด, รักในสิ่งที่ทำ, ออกแบบชีวิตตัวเอง, ของไม่ดีอย่าเอามาขาย, อย่าทำอะไรแค่เพื่อเงิน, ภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำ, สร้างลูกค้าจากคนรอบตัว และจงหิวโหย จงโง่เขลาอยู่เสมอ
.
7. Frank Bettger (สุดยอดนักขายประกันชีวิตมือหนึ่งของโลก)
การขายประกันชีวิต หนึ่งในงานขายที่ยากที่สุดเพราะไม่สามารถจับต้องหรือมองเห็นได้ แต่เขากลับสามารถทำได้ จนได้รับการยกย่องให้เป็นปรมาจารย์ด้านการขายจากงานประกันในบริษัทชั้นนำทั่วโลก และเป็นสุดยอดนักขายที่สร้างรายได้สูงที่สุดในสหรัฐอเมริกา
ซึ่งในวัยเด็กของเขานั้นยากจน เรียนไม่จบตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา แต่ในวัย 40 ปี เขากลายเป็นนักขายที่ประสบความสำเร็จทั้งที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้นการขายมาก่อน แต่อาศัยการเรียนรู้จากประสบการณ์แทน
โดยมีแนวคิดความสำเร็จ คือ เก็บสถิติทุกสิ่งที่คุณทำเสมอ เพื่อให้รู้ว่าตัวเองต้องปรับปรุงจุดไหน, การขายเป็นงานที่ง่ายที่สุดในโลกถ้าคุณทำงานอย่างหนัก แต่จะเป็นงานที่ยากที่สุดถ้าคุณพยายามทำให้ง่าย, วิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะความกลัว คือ การลงมือทำ
.
8. Jack Welch (ต้นแบบสุดยอด CEO ที่เก่งที่สุดในตำนาน)
ต้นแบบของสุดยอด CEO อย่างแท้จริง ผู้บริหารที่ขับเคลื่อนองค์กรสู่ความก้าวหน้าระดับโลก นั่นคือ บริษัท GE หรือ General Electric บริษัทที่เคยจำกัดตัวเองให้อยู่แค่ในแวดวงการผลิต จนเป็นบริษัทที่สามารถทำกำไรอย่างไร้ขอบเขต ซึ่งเขาถูกจดจำผ่าน 2 นิยาม คือ “Manager of the century” จากการออกแบบโมเดลการบริหารพนักงานและองค์กรที่หลากหลาย เช่น แนวคิด Fix it, close it or sell it และโมเดล 20-70-10
และอีกหนึ่งนิยามคือ “Neutron Jack” เปรียบเทียบรูปแบบการบริหารว่าคล้ายนิวตรอน เน้นการทำลายเฉพาะจุด ไม่ทำให้โครงสร้างหลักของบริษัทเสียหาย
หลักการบริหารที่ทำให้เขากลายเป็น CEO ระดับโลก คือ
เน้นปรับตัวธุรกิจให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง, ตั้งเป้าหมายธุรกิจไว้สูง เพื่อให้ลูกน้องเล็งเป้าหมายที่สูง, ปรับโครงสร้างองค์กร เช่น ตัดพนักงานที่ไม่จำเป็น ให้เหลือแต่คนทำงานจริงๆ และสนับสนุนให้ใช้ประสบการณ์ ความคิดสร้างสรรค์จากระดับกลางและล่าง ให้พนักงานมีส่วนร่วมในการปรับปรุงแก้ไขงานตนเองและทิศทางอนาคตของหน่วยงาน
.
9. Zig Ziglar (ตำนานนักขาย นักเขียน นักสร้างแรงบันดาลใจที่เก่งที่สุดในโลก)
หนึ่งในคนที่เป็นแรงบันดาลใจและต้นแบบของบรรดานักขายและนักธุรกิจที่อยากประสบความสำเร็จทั่วโลก โดยการพูดแต่ละครั้งจะเน้นให้นักขาย พัฒนาตัวเอง เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดชีวิตสอนให้ทุกคนรู้จักตั้งเป้าหมายที่ไม่ง่ายหรือยากจนเกินไป แต่เป็นเป้าหมายที่เป็นไปได้
ก่อนหน้าที่จะเป็นนักพูดระดับโลก เคยทำงานเป็นพนักงานขาย และเคยได้รับตำแหน่งรองประธานฝ่ายทรัพยากรบุคคลของบริษัทผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ในดัลลัส ได้ตีพิมพ์หนังสือเล่มแรกชื่อว่า “พบกันที่จุดสูงสุด” เป็นหนึ่งในหนังสือที่ขายดีที่สุดตลอด 40 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งคำพูดของเขาก็มักได้รับความนิยมจากนักขายและนำมาเป็นแบบอย่างในการประกอบอาชีพ รวมถึงการใช้ชีวิต ตัวอย่างเช่น
“If you can dream it, then you can achieve it. You will get all you want in life if you help enough other people get what they want.”
ถ้าคุณฝันถึงมันได้ คุณก็ไปถึงมันได้ คุณจะได้ทุกสิ่งที่คุณต้องการถ้าคุณได้พยายามมากพอที่จะช่วยให้ผู้อื่นได้รับในสิ่งที่เขาต้องการ
.
10. Thomas Edison (ยอดนักประดิษฐ์คนสำคัญของโลก)
วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้คนบนโลก โดยเฉพาะการมีหลอดไฟฟ้าที่ส่องแสงสว่างให้ทุกคนในทุกวันนี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีเขา “Thomas Edison”
แบบอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จจากความขยันและความมุ่งมั่น เพราะเขาแทบไม่ได้เรียนหนังสือที่โรงเรียน แต่ทำการค้นคว้าทดลองด้วยตัวเองตั้งแต่เด็ก และเป็นคนแรกที่สามารถพัฒนาหลอดไฟฟ้าที่ใช้งานตามบ้านเรือนได้สำเร็จ
สร้างโรงจ่ายกระแสไฟฟ้าที่เมืองนิวยอร์ก ประดิษฐ์เครื่องบันทึกเสียง, เครื่องบันทึกภาพเคลื่อนไหว เครื่องถ่ายทำภาพยนตร์, เครื่องผสมปูนซีเมนต์, แบตเตอรี่ ไม่เพียงเท่านั้นเขายังมีสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ภายใต้ชื่อของเขาจำนวน 1,093 ชิ้น และได้ก่อตั้งบริษัทผู้ผลิตและขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ปัจจุบันกลายเป็นบริษัทระดับโลก นั่นคือ GE หรือ General Electric
กว่าจะมีวันนี้ได้ ต้องลองผิดลองถูกนับครั้งไม่ถ้วน จนกลายเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ให้เห็นว่า ถ้าเขาไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน และยอมแพ้ไปตั้งแต่ตอนนั้น เราอาจจะไม่มีแสงสว่างจากหลอดไฟฟ้าให้ได้ใช้ในทุกวันนี้ หนึ่งคำคมจากเขาที่เป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนทั่วโลกคือ
“I have not failed, I’ve just found 10,000 ways that won’t work.
ผมไม่ได้ล้มเหลวผมแค่ค้นพบ เส้นทางที่ยังไม่ใช่หนึ่งหมื่นหนทางเท่านั้น
.
นักขายระดับโลกทั้ง 10 ท่าน นับเป็นนักขายในตำนานอย่างแท้จริง เพราะนอกจากจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลกแล้ว ยังเป็นบุคคลต้นแบบของการสร้างการเปลี่ยนแปลงของโลกในด้านต่างๆ สำหรับใครที่อยากประสบความสำเร็จ ก็สามารถนำเรื่องราว วิธีคิด และประสบการณ์ของพวกเขาไปเป็นต้นแบบในการทำงานได้ แต่ที่สำคัญคือ อย่ายอมแพ้ พยายามฝึกฝนและพัฒนาตัวเอง ทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ พร้อมเรียนรู้กับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิต แล้ววันหนึ่งคุณจะเป็นนักขายที่ประสบความสำเร็จ และอาจกลายเป็นตำนานสำหรับใครหลายคนที่มีคุณเป็นต้นแบบของความสำเร็จด้วยก็ได้
.
ที่มา : https://www.slideshare.net/KayPee3/10-greatest-sales-people-of-all-time
https://sites.google.com/site/withyasastrscince35/aa-3
https://bit.ly/33WhK7g
https://www.dalecarnegie.com/th/resources/dale-carnegies-secrets-of-success
https://tha.mainstreetartisans.com/4204986-zig-ziglar-biography-and-creativity
https://insurancethai.net/webboard/single.php?id=1098
http://www.liferevo.org/index.php?option=com_content&task=blogsection&id=3&Itemid=65&limit=12&limitstart=156
#อายุน้อยร้อยล้านNEWS
#อายุน้อยร้อยล้าน #ryounoi100lan
#นักขายในตำนาน #JohnHPatterson #DavidOgilvy #MaryKayAsh #DaleCarnegie
#JoeGirard #SteveJobs #FrankBettger #JackWelch #ZigZiglar #ThomasEdison
#ตำนาน #นักขาย #นักธุรกิจ #Salesman #Business
sales manager คือ 在 I Love Japan TH Facebook 的最讚貼文
#ประสบการณ์ทำงานที่ญี่ปุ่น ภาค 3🇯🇵
ตอน ลาออกจากงาน🖐🏻
.
🔴สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านเรื่องก่อนหน้านี้
https://www.facebook.com/ILoveJapan.th/posts/2696138543953008/
———
หลังจากที่ทำงานมาที่บริษัทผลิตเครื่องจักรพลังงานแสงอาทิตย์
ในฐานะ Sales Engineer มาปีกว่าๆ ก็มีจุดที่ทำให้รู้สึกว่าถึงเวลาที่เราควรจะเลิกทำงานนี้แล้ว
.
⚠️นั่น ก็คือ
⛔1. #สุขภาพที่ทรุดโทรม
อย่างที่เคยกล่าวไปในภาคที่แล้ว
ว่าเนื่องจากเราทำงานเป็นเซล จะมีวันหยุดที่ไม่แน่นอน
มีโอที ไปดื่ม(nomikai)กับทั้งเจ้านาย
และกับลูกค้าบ่อยๆ เดินทางเป็นว่าเล่น วันหยุดแต่ก็ต้องแบกงานกลับมาทำบ่อยๆ
ช่วงแรกๆที่ทำงานนี้ คุณพ่อก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่
เพราะคุณพ่อก็เคยทำงานเป็น Sales Engineer มาก่อน เหมือนกัน แต่ที่ไทย🇹🇭
คุณพ่อบอกว่ามันเป็นงานที่เหมาะกับผู้ชายมากกว่า
เพราะนอกจากต้องใช้พลังกายเยอะแล้ว
ยังเป็นงานที่ต้องดีลกับผู้ชายเยอะ
พาลูกค้าไปเอ็นเตอร์เทน ไปดื่ม🍺 ฯลฯ
ไม่เหมาะกับผู้หญิง
.
แต่ตอนนั้น เราก็ยังยืนยันที่จะทำ
เพราะคิดว่าเป็นประสบการณ์ งานสมัยนั้นก็ใช่ว่าจะหาง่าย
ยิ่งเราเป็นต่างชาติ สมัยนั้นยังไม่ค่อยเปิดรับคนต่างชาติมาทำงานเท่าทุกวันนี้
ที่สำคัญไม่อยากจะเข้ามาทำงานไม่กี่เดือนแล้วก็ออก
อย่างน้อยก็ตั้งใจว่าจะต้องอยู่ให้ได้ถึงปีก่อน
.
ตอนแรกๆที่ทำงานหนัก ก็ยังไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่
(อาจเป็นเพราะเรายังสาวอยู่555)
นอนดึกตื่นเช้า ทำงานจนดึกๆดื่นๆ ไปดื่มกับเจ้านาย
เพื่อนร่วมงาน ปิดท้ายด้วยราเมงรอบดึก
กลับรถไฟเที่ยวสุดท้าย หอบร่างพังกลับบ้าน
บางทีก็ไปbusiness trip ที่ต่างประเทศเป็นว่าเล่น
แต่กฺยังทนได้ ใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้
วันหยุดคือ น็อก ล้ามากนอนสลบอยู่แต่บ้าน
.
จนกระทั่งวันนึงร่างกายเริ่มจะรับไม่ไหว
วันเสาร์ อาทิตย์ (ถ้าได้หยุด เพราะบ่อยครั้งที่ถูกเรียกไป business trip กะทันหัน)
หลับเป็นตายเพลียมาก ไม่มีแรงออกไปไหนเลย นอกจากไปนวด
(ถึงจะแพงก็ยอมจ่าย เพราะไม่ไหวจริงๆ)
วันหยุดไม่มีแรงทำอะไรนอกจากนอนเป็นตาย
ผิวพรรณแย่ลง
.
ยิ่งไปกว่านั้น เริ่มเป็นกรดไหลย้อนขั้นรุนแรง
หมดค่ายาไปเยอะมาก ยาที่ญี่ปุ่นไม่แรงพอ ต้องให้ที่บ้านส่งมาให้
กินยาเท่าไหร่ก็ไม่หาย เป็นหนักมาก ถึงขนาดนอนไม่ได้
แสบหน้าอกมากๆ แสบกระเพาะไปหมด
ทรมานจนต้องไปส่องกล้องในกระเพาะดูเพราะกลัวเป็นมะเร็ง
ขาดยาไม่ได้เลย ขนาดลาออกแล้ว 3-4ปียังไม่หาย
กินยาจนยาก็เอาไม่อยู่ (ตอนนี้หายแล้วนะคะ นานๆจะกลับมาเป็นที)
.
เรียกว่า 1ปีแรกของเรา
สำหรับพนักงานเข้าใหม่ของที่นี่กับที่อื่น ต่างกันมากกก
เพราะบริษัทเรา มักจะมอบหมายให้เราทุกอย่าง
ทุกอย่างจริงๆ ผิดกับบริษัทส่วนใหญ่ที่จะไม่ค่อยให้พนักงานเข้าใหม่ ทำงานหลักๆเท่าไหร่
มักจะให้โฟกัสแค่งานของตัวเองเท่านั้น
(แต่ข้อดี คือ หลังจากนั้นพอเราได้ไปทำงานบริษัทใหญ่นี่สบายเลย)
.
⛔2. #ความเครียดสะสม
การที่เราทำงานในสายงานที่เราไม่ได้จบมา
(มายจบบริหารมา แต่มาทำสายวิศวะ)
แถมยังเป็นภาษาอื่นที่เป็นคำศัพท์เทคนิคด้วย
เป็นอะไรที่เราเครียดสะสมมากๆ
ถึงเราจะสะสมความรู้และปสก.มากขึ้นเรื่อยๆก็ตาม
แต่มันไม่ใช่สายที่เราเรียนมา เพราะฉะนั้น เราต้องมีสติตลอดเวลา
และพยายามมากกว่าคนอื่น3เท่า
(ที่พูดว่า3เท่า เพราะ 1.ด้านภาษา 2.ด้านความรู้เฉพาะทาง 3.ด้านโฟกัส)
เพราะเราต้องดีลกับทั้งลูกค้าและเพื่อนร่วมงานโดยที่ไม่ใช่ภาษาเรา
คุยกับลค.เป็นภาษาอ้งกฤษ แต่รายงานเจ้านายเป็นภาษาญี่ปุ่น
(เรียกได้ว่าต้องโฟกัส 3 ภาษาเลย
.
ยิ่งตอนที่มีปัญหานี่ยิ่งเครียด
เช่น ตอนเครื่องจักรมีปัญหา อุปกรณ์พัง ของส่งไปไม่ครบ
คอมเพลนจากลูกค้า เป็นอะไรที่เครียดสุดๆ เหมือนเราเป็นที่รองรับ
เซลเหมือนเป็นคนกลาง ทั้งๆที่ความผิดอาจจะไม่ใช่มาจากเรา
แต่เราต้องเป็นคนรองรับอารมณ์โกรธจากทุกฝ่าย เช่น
ความผิดอาจจะมาจากแผนกจัดส่งของที่ส่งของผิด แต่เราโดยลูกค้าด่าแทน
หรือเวลาลูกค้างอแง ต่อราคา ด่าว่าทำไมเราไม่ลดให้
พอเราไปพูดกับเจ้านาย เราก็โดนเจ้านายตำหนิ สรุปโดนตำหนิจากทั้งคู่ เป็นต้น
(คิดว่า ถ้าใครเคยทำงานเป็นเซล อาจจะพอนึกภาพออก😅)
.
แต่สิ่งเหล่านี้เป็นประสบการณ์
สอนมายให้มีความอดทน ไม่ใช้อารมณ์ในการทำงาน
เรียนรู้ที่จะจัดการกับลูกค้าในวิธีต่างๆได้ก็จริง
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงจะยังเลือกทำงานที่นี่
เพราะเราได้รับการฝึกวิชาหนักจริงๆ
เป็นหนึ่งปีที่ใช้เวลาคุ้มมากๆ
.
⛔3. #ฟางเส้นสุดท้ายเลย
คือ เจ้านายที่เป็นเจ้านายโดยตรง (General Manager)
จริงๆเขาเป็นคนเก่งนะ และก็ไม่ได้เป็นคนไม่ดี
แถมยังเคยช่วยสอนงานหลายๆอย่าง
แต่ข้อเสียของเขาก็คือ
"เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย"
คำว่า เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้ายในที่นี้
หมายถึง
"วันไหนที่หัวหน้าอารมณ์ดี
เราทำอะไรก็ไม่ผิด ทำอะไรก็โอเคไปหมด (ขออะไรส่วนใหญ่อนุมัติหมด)
แต่วันไหนที่หัวหน้าอารมณ์ไม่ดี
หรือไปเจอเรื่องอะไรไม่ดีมา
เราทำอะไรก็โดนว่าไปหมด"
(สรุปต้องเดาอารมณ์ให้ถูก)
ซึ่งก็ไม่ใช่เราคนเดียวที่โดน แต่ทุกคนโดยเหมือนกันหมด
เลยพยายามไม่เก็บมาคิดมาก
.
แต่ช่วงหลังๆ
พอดีมีความคิดลังเลในใจว่า
อยากจะลาออกอยู่แล้วพอดี
พอมีเรื่องอะไรไม่ดีเข้ามานิดนึง
มันก็เลยอาจจะส่งผลให้เรามีอคติต่อเจ้านายมากขึ้น
.
เรื่องมีอยู่ว่า
มีอยู่วันนึงที่ไป business trip ที่มาเลเซียด้วยกัน
ระหว่างที่พรีเซ็นต์กับลูกค้า
ลูกค้ายิงคำถามมาคำถามนึงมา
แต่เราอธิบายไม่ได้เพราะเราไม่เข้าใจหลักการ
และเป็นเรื่องใหม่ที่นอกเหนือสิ่งที่เตรียมตัวมา
เจ้านายเลยช่วยอธิบายให้แทน
.
หลังจากจบจากการเจอลูกค้า ก็รู้สึกผิดนิดหน่อย
ระหว่างที่กำลังรอเครื่องกลับญี่ปุ่นกันอยู่
ก็เลยขอให้เจ้านายให้ช่วยอธิบายเรื่องหลักการให้ฟัง
เจ้านายก็อธิบายให้ แต่เราก็ไม่เข้าใจอยู่ดี
(อย่างว่า เราไม่ได้จบทางด้านวิศวะมา
บางทีอธิบายมามันก็ตามไม่ทัน อาจจะเป็นความผิดเราที่ไม่ดูกาลเทศะตอนถาม)
อยู่ดีๆ เจ้านายก็โมโห และก็ว่าเรา
“เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมไม่เข้าใจ หา! ซื่อบื้อจัง”
และก็ทำหน้าเอือมใส่
.
ถ้าเป็นปกติ เราอาจจะไม่รู้สึกแย่อะไรมาก
แต่ตอนนั้น ทั้งเหนื่อย ทั้งท้อ
พอโดนพูดแบบนี้ ความรู้สึก คือ ชา
เหมือนสมองมันว่างเปล่า
รู้สึกเสียความรู้สึก
ตอนนั้นคิดว่า
เราเองก็พยายามเต็มที่ แต่เราคงจะไม่เหมาะกับงานนี้จริงๆ
พอเจ้านายพูดจบ น้ำตาเราก็ไหลออกมาโดยที่กลั้นไม่อยู่
เป็นครั้งแรกจริงๆที่ร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น
(ปกติไม่เคยร้องไห้เรื่องงานมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าคนอื่น รู้สึกอายมาก แต่มันกลั้นไว้ไม่ไหวจริงๆ อาจะเป็นเพราะน้อยใจและเหนื่อยสะสม)
เจ้านายเห็น ก็นิ่งๆ ไม่ได้ปลอบอะไร ทำไม่รู้ไม่ชี้
อาจจะรู้สึกผิดนิดนึงแหล่ะ
แต่ทำเก๊กสไตล์คนญี่ปุ่น ก็เงียบๆจนกระทั่งกลับ
ตอนนั้นในใจเรา คือ ไม่เอาแล้ว ตัดสินใจลาออก
.
พอวันต่อมา มาทำงานเจ้านายก็มาทำดีด้วยมากๆ
(คงง้อทางอ้อม แต่หารู้ไม่ฉันไม่เหมือนเดิมแล้ว55)
เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มาพูดจาดีใส่
แต่คือ หลังจากคำพูดเจ้านายวันนั้น คือ เราตัดสินใจแน่นอนแล้ว
.
🟠หลักๆ ก็ 3 ข้อนี้แหละค่ะ
จริงๆถามว่าเป็นความผิดเจ้านายไหม
ก็ไม่ เพราะมายก็ทำไม่ได้ตามที่เขาคาดหวังไว้จริงๆ
ถึงเราก็พยายามมากๆแต่ก็เหมือนฝืนตัวเองเกินไป
(ตอนนั้น ระหว่างที่ทำงานอยู่ แอบคิดว่าถ้าเรียนจบวิศวะมาคงดี)
ไม่มีใครผิด แค่มันถึงจุดที่เราพอแล้ว
.
ทีนี้ ก่อนที่จะไปขอลาออก
มันก็เป็นอะไรที่อึดอัดมาก เพราะเราไม่รู้จะพูดเหตุผลว่าอะไร
อีกอย่างเป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่จะขอลาออกด้วย
ไม่รู้ว่าเกิดพูดไป หลังจากนั้น จะโดนปฏิบัติไม่ดีรึเปล่า กังวลไปต่างๆนานาๆ
แต่ในที่สุด ก็ตัดสินใจ ไปบอกเจ้านายค่ะ
.
ที่ญี่ปุ่น เวลาจะลาออก
เราจะต้องเขียนจดหมายขอลาออก
ใส่ซองขาวยื่นให้เจ้านายที่เราขึ้นกับเขาโดยตรง
จะไปยื่นให้ HR หรือข้ามขั้นไปยื่นให้หัวหน้าของหัวหน้า หรือท่านประธานไม่ได้
.
วันที่ไปยื่นจดหมายลาออก กับเจ้านาย
ก็บอกเจ้านายว่า
“ขอโทษนะคะ ....ซัง มีเรื่องอยากจะปรึกษาหน่อยค่ะ”
และเจ้านายก็บอก “มีอะไรเหรอ”
เรา “ขอไปคุยในห้องประชุมได้ไหมคะ”
จากนั้น เราก็ยื่นจดหมายลาออก
เจ้านายก็ตกใจ ถามว่า ทำไมล่ะ!
มีปัญหาอะไรรึเปล่า
(ปัญหาส่วนหนึ่งมาจากคุณด้วยนี่แหล่ะ!!55)
ถ้าคุณออกละก็แย่เลย มีอะไรที่ผมพอช่วยได้ไหม
ก็เลยตัดสินใจตอบกลางๆ เพราะกลัวโดนเขารั้งไม่ให้ออก ว่า
“อ๋อ คือพอดี จะกลับประเทศอ่ะค่ะ”
(แต่ตอนนั้น ส่วนหนึ่งก็คิดว่าอาจจะกลับจริงๆ
เพราะกำลังเซ็งๆกับเรื่องความรักกับแฟนเก่าญี่ปุ่นด้วย
หรือจะกลับไปหาหนุ่มไทยดี555)
เจ้านายก็เลย ไปต่อไม่ถูก ยอมให้เราออก
.
หลังจากนั้น ก็มีเวลาเดือนนึงก่อนที่จะออก
บวกกับวันหยุดที่เหลือเยอะแยะที่ไม่เคยได้ใช้
เลยได้มาทำงานแค่สองอาทิตย์ อีกสองอาทิตย์หยุด
บรรยากาศที่ออฟฟิศไม่ได้แย่อย่างที่คิอ
กลับกันเจ้านายกลับมาพูดดีด้วยมากๆ
(อาจเป็นเพราะไหนๆเราก็จะเป็นคนนอกแล้ว)
ระหว่างนั้น ก็ทำการสอนงาน โอนงานต่อให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ
ซึ่งเพื่อนๆร่วมงานที่เข้ามาพร้อมๆกัน
ก็บ่นว่าไม่อยากให้เราออกเลย เพราะงานคงจะเยอะขึ้น555
.
วันสุดท้ายของการทำงาน
ก็ส่งอีเมลไปหาลูกค้า และซัพพลายเยอร์ทุกคนว่าเราจะไม่ได้ทำงานที่นี่แล้ว
ต่อไปให้ติดต่อใครแทน ฯลฯ
และก่อนกลับบ้าน ก็จะต้องไม่ลืมที่จะส่งอีเมลไปหาทุกคนในบริษัทว่าเราจะลาออกแล้ว
ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา ซึ่งเป็นธรรมเนียมของบริษัทญี่ปุ่นทุกที่ที่ต้องทำแบบนี้
.
จากนั้น ก็ไปบอกลา เจ้านายแผนกอื่นๆ แต่ละแผนกทีละคนๆ
มันก็จะเขินๆนิดหน่อย555
เพราะบางคนก็ไม่ได้สนิทมาก เจอกันไม่กี่ครั้ง แต่ก็เป็นมารยาทที่ควรทำ
ทุกคนก็จะอวยพรขอให้เราโชคดี
.
ปิดตำนานการทำงานที่บริษัทแรกค่ะ
ยาวนิดนึง555 (พอเขียนแล้วติดลม)😝
ไว้ตอนหน้า จะมาเล่าประสบการณ์การเข้าทำงานที่บริษัทที่สองให้ฟังนะคะ ^^
.
ป.ล. พรุ่งนี้จะต่อเรื่องปสก.มีแฟนคนต่างบาติในญี่ปุ่นต่อ