วันที่10 แล้วค่ะ
ตื่นแต่เช้าเลยเพื่อไปริมแม่น้ำคงคา สถานที่สำคัญของคนอินเดีย สถานที่นี้เป็นสถานที่ที่คนอินเดียเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์กันมาก เราออกเดินทางกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเลย เมื่อมาถึงรถจอดพวกเราก็ต้องรีบเดิน ซึ่งงานนี้ก็จะมีคนเอาของมาขายเต็ม เวลาขายของของคนอินเดียจะแปลกนะ เขาไม่ขายเหมือนบ้านเรานะ เขาเอาของถือเดินตามพูดกับเราไปเรื่อยๆ ลูกทัวร์บางคนก็เริ่มซื้อ มีน้องคนหนึ่งเขาซื้อที่แปะหน้าผากของสาวอินเดียราคา ๓๐๐ รูปี หลังจากนั้นก็ถึงคราวพี่อ๋อ อย่างที่พี่อ๋อบอก เวลาคนเราค้าขาย ถ้าเราอยากให้การต่อลองจบเร็วและได้ทั้ง สองฝ่าย เราก็ควรเหลือกำไรให้เขาด้วย อย่าต่อจนเขาแย่ แต่ในขณะเดียวกันอย่าให้เขาได้กำไรเกินควร งานนี้พี่อ๋ออ่านใจเขาคิดว่า ๕๐ รูปีคือทุน แต่ด้วยความที่เขาเป็นนักเรียน เอ้างั้น ๑๐๐ รูปีละกัน ปกติเมืองไทยขายอยู่ชุดละ ๒๕ บาท นี้มีอยู่ ๒๔ ชุดดังนั้นยังไงก็ถูกกว่าเมืองไทย เขาได้เงินไปเรียนด้วย (เห็นไหมคิดถึงใจเขาใจเราก็ได้ตรงกลาง) สรุปพี่อ๋อได้ของมาในราคา ๑๐๐ รูปี ลูกทัวร์ทุกคนมองหน้า เพราะบางคนซื้อแพงกว่าพี่อ๋อเยอะเลย เห็นความดีไหม นอกจากเป็นไกด์ได้ยังช่วยซื้อของได้ด้วย แต่ยังไม่จบนะยังอีกยาว
ท่าเรือคนเยอะมากช่วงที่เรารอขึ้นเรือ เราจะเห็นว่าคนเยอะมากๆ เมื่อเราขึ้นเรือแล้วงานนี้ หลวงพี่บอกว่า ไม่พอใจอะไรโทษ B เพราะวันนี้น้องเราลั้นลามาก ลืมลำโพง ถ้าหลวงพี่พูดก็จะไม่มีทางได้ยินทั้งเรือแน่ น่าโมโหมาก เพราะเมื่อเราลอยไปได้สักพัก ลูกศิษย์ก็เอากระทงมาให้ ที่นี่เขาจะเอาใบไม้มาทำเป็นเหมือนชามเล็กๆ เหมือนที่ใส่กุยช่ายสมัยก่อนนะ (เอ้ย เสียงอะไรนะ เชื่อไหมใครเชื่อบ้าง หมาฉัน “ตด” เสียงดังมาก นั่งอยู่ในห้องคนเดียวงงเลย คิดว่าหูฝาด เสียงดังมากเหมือนคนเลย ดีนะนั่งคนเดียวไม่งั้นคงโทษคน ใครจะนึกหมาตดได้)
หลังจากเราจุดเทียนเตรียมลอย พวกคนที่จะขายของก็เอาเรือเข้ามาแล้วเกือบทับกระทงเรา มันน่าโมโหมาก (เฮ้ย พระเจ้าแกล้งอ๋อ มีหมาสองตัว ตัวแรกมาตดใส่แล้วเดินกลับไป อีกตัวมานั่งใกล้ๆแล้วตดใส่ มองหน้าแล้วเดินจากไป เห็นอ๋อเป็นตัวอะไรเนี่ย)
หลังจากเราลอยกระทง B ก็เอากล่องอะไรมาก็ไม่รู้ เอามาให้หลวงพี่ ปรากฏว่าหลวงพี่บอกว่าเป็นอัฐิของโยมแม่ โห เปรี้ยวนะได้มาลอยแม่น้าคงคาจริงๆเลย ไม่ใช่แค่ปากอ่าวอย่างเรา เปรี้ยว
ขณะที่กำลังชื่นชม กับลูกกตัญญู นั้นเอง ก็มีของลอยมาให้ปลงสังขาร ศพจ๊ะ ไม่กล้ามองว่าศพไร กลัวเป็นคน เพราะที่นี่มีท่าสำคัญอยู่มากมาย แต่ที่คนนิยมที่สุดและมีกองไฟที่ลุกมาแล้วนับพันปีโดยที่ยังไม่เคยดับเลยอยู่ที่ “ท่ามณิกรรณิการ์” ท่านี้จะเป็นท่าที่เอาไว้เผาศพ ดังนั้นจึงมีการเผาตลอดเวลา อย่างช่วงที่เราไปดูก็จะมีอยู่ สามศพ พวกเขาเชื่อกันว่า ถ้าได้มาตายมาเผาที่ท่านี้จะได้ขึ้นสวรรค์ เพราะพระศิวะท่านเคยเสด็จมา ดังนั้นหากนำศพมาเผาและเอากระดูกมาโปรยที่แม่น้ำนี้จะได้ขึ้นสวรรค์ แต่ก็มียกเว้นนะ คือ เด็ก สาวบริสุทธิ์ คนโดนฟ้าผ่าตาย ฯลฯ พวกนี้เขาจะให้ลอยศพลงน้าเลยไม่ต้องเผา เพราะเชื่อว่าได้ขึ้นสวรรค์แล้ว (อย่างอื่นไม่สงสัย สงสัยอย่างเดียวรู้ได้ไงว่า บริสุทธิ์หรือเปล่าที่นี่ ๑๓ ยังมีลูก)
บางคนยากจนเผาไปได้ไม่เท่าไหร่ ฟืนหมดเขาก็จะโยนศพลงน้ำเลย (ตอนนี้รัฐบาลเขาออกกฎใหม่ไม่ให้แล้ว เผาให้หมด) ที่แปลกก็คือ แม่น้ำนี้ มีคนอาบน้ำ กินน้ำ เอาน้ำลูบหน้า และ ถ่ายลงน้ำ ศพลงน้ำ ที่สำคัญมันทากันตรงหน้าเลยนะ เช่นยืนอยู่ติดๆกันเขาก็จะทั้ง ดื่ม อาบและ ขี้ ใกล้ๆกันโดยไม่รู้สึกอะไร ที่สำคัญศพก็ลอย งงว่าทำใจกันได้ไง แต่หลวงพี่บอกว่าเขาเคยตรวจส่วนผสมของน้ำ ทำให้ทราบว่ามีกามะถันอยู่เยอะมาก ทำให้สิ่งสกปรกตกตะกอน ทำให้ไม่เกิดโรค นี่ละนะเขาถึงเรียกว่าธรรมชาติ ช่วยธรรมชาติ
แต่ยังไงอ๋อก็รับไม่ได้จ้าให้อาบยังเคือง ถ้าให้ดื่มคงต้องฆ่ากันละ
หลังจากนั้นเราก็ต้องเดินกลับรถ งานนี้นักช๊อปอย่างเราก็สนุกเลยได้ผ้ามาเพียบ แต่สงสารลูกศิษย์จัง ลูกศิษย์เจอร้านขายหินแกะสวยมาก แต่ไม่มีเวลาต่อ คิดกันว่าจะกลับมาอีก แล้วก็เดินกลับรถ
เรามาถึงวัดกัน ๘ โมงแล้วต้องรีบไปวัดทิเบตจำได้ไหมที่เขามีพระบรมสารีริกธาตุนะ เราต้องรีบไปต่อคิวเพราะคนเยอะแล้วเขาเปิด ๘ โมงครึ่ง เราได้เป็นกลุ่มแรกของคนที่จะเข้าไป เมื่อถึงเวลาก็ประมาณ ๙ โมงแล้วละ เราก็ได้เข้าไปด้านใน พี่อ๋อเข้าใจว่าเขาจะเอาที่ใส่พระธาตุมาครอบหัวเราปรากฏว่างานนี้ ผิดหวังอย่างที่สุด เพราะเขาเอาครอบหัวแค่ เมื่อวานวันเดียวซึ่งมีปีละหนึ่งวันเท่านั้น เศร้า
เขาให้เราเดินเข้าไปแล้วให้อธิฐานจิต ซึ่งขอบอกว่าอย่างที่เขาให้ทำนะ ทำที่บ้านก็ได้ไม่ต่างกันเลย เอาเป็นว่าไม่คุ้มกับที่จะยอมอดข้าวเช้า ทันทีที่คิดได้อย่างนั้นเราก็รีบเดินกันใหญ่เลยเพื่อที่จะได้กลับไปทันทานข้าว อิ่ม
หลังจากนั้นเราก็เดินทางไป สังเวชนียสถานแห่งที่ ๔ “อสิปตนมฤคทายวัน” เป็นสถานที่ที่ทำให้เกิด พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สถานที่นี้เดิมเป็นสถานที่ พวกฤาษี รวมทั้งปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ มาอาศัยอยู่หลังจากที่แยกจากพระพุทธองค์แล้ว ป่าแห่งนี้เป็นที่อาศัยของกวาง พระเจ้ากรุงพาราณสีโปรดพระราชทานไว้ คำว่า สารนาถ จึงนามาจาก “สารังคนาถ” แปลว่า ที่พึ่งของสัตว์ คือ กลวาง หมายถึงที่พึ่งอันประเสริฐของมวลมนุษย์ จากการประการพระธรรมจักร
ในวันเพ็ญเดือนอาสาหฬะ เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตร อันเป็นพระธรรมเทศนากัณฑ์แรก ให้ท่านอัญญาโกณฑัญญะ ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว ท่านได้กราบทูลขอบรรพชาอุปสมบทต่อพระบรมศาสดา ซึ่งถือเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก ในยุคพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒๘
วันต่อมา พระพุทธองค์ประทานโอวาทแก่ปัญจวัคคีย์ที่เหลือดวงตาแห่งธรรมได้เกิดขึ้นแก่ ท่านวัปปะและท่านภัททิยะ ทั้งสองท่านขออุปสมบท
วันต่อมา พระพุทธองค์ทรงให้โอวาทแก่ปัญจวัคคีย์ที่เหลือ ครั้งนี้ พระมหานามะและพระอัสสชิ ก็เห็นดวงตาแห่งธรรม หลังจากปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ สำเร็จเป็นอรหันต์ ห่างจากสถานที่เพียงแค่เดินไม่ถึง ๕นาที ก็เป็นสถานที่ที่เรียกว่า ยสเจตียสถาน ซึ่งพระยสกุลบุตร คือบุตรของเศรษฐี ที่เกิดความเบื่อหน่าย จึงพูดลอยๆว่า ที่นี่วุ่นวาย ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงได้ยินและตรัสว่า
“ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง มาเถิดยสะ นั่งลง เราจักแสดงธรรมแก่เธอ”
หลังจากนั้น พระยสะก็บรรลุธรรม เมื่อบิดามาตามหาพระยสะ ก็กราบทูลขอเป็นอุบาสก ผู้มอบชีวิตถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ นับเป็นอุปาสกที่กล่าวอ้างพระรัตนตรัยคนแรกของโลก ส่วนมารดาและภรรยาของพระยสะอุบาสิกาคู่แรกของโลกเช่นกัน
ขอนอกเรื่องหน่อยนะ คงจะยาวแต่อยากเล่านะ เมื่อกล่าวถึงพระยสะแล้วก็อยากจะกล่าวถึง “พระนาลกะ” อสีติมหาสาวก พระสงฆ์รูปที่ ๗ ของโลก หลังจากเรามีปัญจวัคคีย์ เพียง ๗ วัน เพียงแต่น่าเสียดายว่าหลังจากบรรลุพระอรหัตตผลเพียง ๗ เดือน ก็นิพาน ดังนั้นชื่อของท่านจึงไม่ค่อยเป็นที่คุ้นเคย
พระนาลกะเกิดในวรรณะพราหมณ์ มารดาของท่านเป็นน้องสาวของอสิตดาบส ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าสุทโธทนะ พระนาลกะออกบวชเป็นฤๅษีตั้งแต่เด็กตามคำแนะนาของลุงว่า “วันข้างหน้า หากได้ยินเสียงกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ขอให้เข้าใจเถิดว่าพระราชกุมารเสด็จออกบวช และได้ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เจ้าจงเข้าไปเฝ้าและจงบวชเป็นสาวกของพระองค์เถิด”
หลังจากนั้นฤๅษีนาลกะรับคำด้วยความเคารพ คอยฟังเสียงคำว่า “พระพุทธเจ้า” อยู่ตลอด ๓๕ ปี จึงได้ยินเสียงเทวดาป่าวร้อง หลังจากนั้นท่านจึงเดินทางมาเฝ้า ซึ่งเป็นเวลาหลังจากพุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้ว ๗ วัน พระพุทธองค์ทรงแสดง สดับธรรมโมเนยยปฏิปทา คือ ข้อปฏิบัติของมุนี ความว่า
เธอจงทำใจให้มั่นคง วางตนให้เหมือนกันทั้งแก่คนที่ด่าและไหว้ไม่มีความเย่อหยิ่ง ต้องละกาม งดเว้นจากเมถุนธรรม รักสัตว์อื่นเหมือนกับรักตนเอง จงละความอยากไม่หยุดในเครื่องนุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นเหตุให้ประกอบมิจฉาชีพ มุนีต้องไม่เห็นแก่กิน บริโภคอาหารแต่พอประมาณ มักน้อย ทำตนให้หายหิวหมดความอยาก ดับความร้อนได้ทุกเมื่อ
มุนีเที่ยวภิกขาจาร ได้อาหารแล้วจงไปที่ชายป่า นั่งบริโภคตามโคนไม้บำเพ็ญฌานใช้ชีวิตอยู่ในป่า ได้อาหารอย่างไรก็บริโภคอย่างนั้น ไม่ควรหวังอาหารที่ยังไม่ได้ ขณะฉันไม่ควรพูด
มุนีขณะภิกขาจาร แม้ไม่เป็นใบ้ ก็ทำตนให้เหมือนคนใบ้ ไม่ควรหมิ่นทานว่าเล็กน้อย ไม่ควรดูถูกบุคคลที่ให้ยืน นั่ง นอน แต่ผู้เดียวในที่สงัด จงรู้ไว้เถิดว่าน้ำในแม่น้ำน้อย ย่อมไหลดัง ส่วนน้ำในแม่น้ำใหญ่ ย่อมไหลเงียบ สิ่งใดพร่องย่อมมีเสียงดัง สิ่งใดเต็ม สิ่งนั้นย่อมไม่มีเสียง
คนโง่ย่อมทำตัวเหมือนหม้อน้ำที่มีน้ำเพียงครึ่งเดียว ส่วนคนฉลาดย่อมทำตนเหมือนหม้อน้ำเต็ม เพราะเป็นผู้สงบ เมื่อรู้เหตุแห่งความเสื่อมและความทุกข์ ผู้ปฏิบัติจึงได้ชื่อว่ามุนี
หลังจากได้ฟังก็ขอยึดข้อปฏิบัติของมุนี ๓ ประการ คือ มักน้อยในการเห็น มักน้อยในการฟัง มักน้อยในการถาม
พระนาลกะไม่ได้ปรารถนาอีกว่า เมื่อเข้าไปอยู่ป่าแล้ว ขอให้ได้ฟังธรรมจากพุทธองค์อีก จากนั้นก็กราบทูลลาเพื่อไปอยู่ในป่าลาพัง โดยปฏิบัติอย่างเคร่งครัด คือ
ไม่อยู่ป่าแห่งเดียวเกิน ๒ วัน
ไม่นั่งโคนต้นไม้ต้นเดียวเกิน ๒ วัน
ไม่บิณฑบาตบ้านเดียวเกิน ๒ วัน
ปกติพระพุทธเจ้าจะให้ทรงปฏิบัติแบบ มัชชิมาปฏิปทาน แต่ พระนาลกะ ปฏิบัติแบบ อัตตกิลมถานุโยค ซึ่งนับว่ามีผลกับสุขภาพมากๆ กล่าวคือ
ผู้ที่ปฏิบัติเคร่งครัดขั้นต้น หลังจากบรรลุอรหันตผลแล้ว จะมีชีวิตอยู่ได้ ๑๖ ปี
ผู้ที่ปฏิบัติเคร่งครัดขั้นกลาง หลังจากบรรลุอรหันตผลแล้ว จะมีชีวิตอยู่ได้ ๗ ปี
ผู้ที่ปฏิบัติเคร่งครัดขั้นสูงสุด หลังจากบรรลุอรหันตผลแล้ว จะมีชีวิตอยู่ได้ ๗ เดือน
ดังนั้นหลังจากที่พระนาลกะสำเร็จอรหันต์ท่านจึงมีชีวิตอยู่เพียง ๗ เดือนเท่านั้น
ในวันที่ท่านจะต้องนิพาน ท่านก็ชำระกายและห่มผ้าสังฆาฏิสองชั้น ยืนหันหน้าไปทางที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่แล้วก้มลงกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วลุกขึ้นยืนประนมมือพิงภูเขาแล้วนิพานด้วยอาการสงบ พระพุทธองค์ทรงทราบการนิพานก็เสด็จมาฌาปนกิจศพท่าน แล้วนำอัฐิมาบรรจุไว้ในเจดีย์ที่ภูเขานั้น
อยากเล่าให้ฟังจะได้รู้จักอรหันต์ที่สำคัญอีกรูปแถมเป็นรูปเดียวที่ปฏิบัติแบบนี้ด้วย
หลังจากนั้นพวกเราก็ออกเดินทาง เราจะเดินทางไปที่บริษัทที่พี่อ๋อกับกลุ่มใหญ่จะต้องแยกจากกันแล้ว เพราะพวกเราต้องเดินทางต่อ แต่คนอื่นๆเขาก็กลับไปที่ คยา แต่พวกเราจะไปกับน้องสาว
เอาเป็นว่าเมื่อเราไปถึงบริษัทที่เขาเตรียมรถ เราก็เริ่มช๊อปเพราะ ที่นั้นก็คือร้านขายของดีๆนี่เอง ซื้อกันอย่างเมามันเลย งานนี้ทุกคนอยากให้พี่อ๋อต่อให้ทั้งนั้น ใครจะซื้อต้องมาถามว่าซื้อได้ไหม ที่บอกนี่ไม่ใช่แค่ลูกศิษย์
หลังจากแยกทางกับทุกคนแล้วเราก็ไปขึ้นรถไฟ เพื่อเดินทางไปโพปาลหรือสาญจี งานนี้ประทับใจกับคนอินเดียใช้หัวมากๆ กระเป๋าพวกเราซึ่งหนักและใหญ่มาก ผู้ชายตัวเล็กๆสามารถเอากระเป๋าใบใหญ่ๆไว้บนหัวได้หลายใบไม่น่าเชื่อเลย วันนี้พวกเราต้องนั่งรถไฟกัน ๑๒ ชม.ได้ พวกเราเลยนั่งรถไฟนอน ซึ่งก็ขอบอกว่ามันสบายมาก หลับยาวถึงสาญจีเลย ขอบอกว่าได้กินแล้วอาหารอินเดียเขาห่อมาให้อร่อยมาก แถมด้วยของอร่อยจาก แม่แสนดีของทริปเพราะอาหารเพียบ
คยา แปลว่า 在 สันละกะยา - อานัส [Official MV] - YouTube 的推薦與評價
ติดต่องานแสดง 0824244515(ผู้จัดการ) 0994047899 เพลง: สันละกะ ยา ศิลปิน: อานัส ... แต่พี่ก็รักจังเลย สักวันน้องเห็นเอง ว่า พี่ไม่เคยเจ้าชู้ ฮู ฮู๊ ฮู * มีแหละแค่ใจดวงหนึ่ง ... ... <看更多>
คยา แปลว่า 在 คำว่า “ดิษยา” แปลว่า “โชคดี”... - Paragon Department Store 的推薦與評價
คำว่า “ดิษยา” แปลว่า “โชคดี” ถูกนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ออกมาเป็นคำว่า “Lucky” ปรากฏอยู่บนเสื้อทั้ง 8 แบบ และยัง Mix&Match ได้ง่ายกับทุกลุค... ... <看更多>