เมื่อ Bill Gross ราชาแห่งพันธบัตร กำลังบอกว่า พันธบัตรคือขยะ /โดย ลงทุนแมน
เราอาจแปลกใจถ้ามีคนพูดว่า “การลงทุนในพันธบัตรคือ การลงทุนในขยะ”
แต่เราคงตกใจยิ่งกว่านั้น เมื่อรู้ว่าคนที่พูดประโยคนั้นคือ หนึ่งในนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ของโลก ที่มีชื่อว่า บิลล์ กรอสส์ เจ้าของฉายา “ราชาแห่งพันธบัตร”
พันธบัตรเป็นหนึ่งตัวแทนของสินทรัพย์ทางการเงิน
ที่หลายคนมองว่าปลอดภัย และมีความเสี่ยงต่ำ
แต่ทำไมตอนนี้ บิลล์ กรอสส์ ถึงมองว่า การลงทุนในพันธบัตร คือการลงทุนในขยะ..
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ถ้าพูดถึงนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ในตลาดหุ้น หลายคนคงนึกถึง วอร์เรน บัฟเฟตต์
แต่ถ้าพูดถึงนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ในตลาดพันธบัตร เราจะต้องพูดถึง บิลล์ กรอสส์ (Bill Gross)
บิลล์ กรอสส์ เป็นผู้จัดการกองทุนรวมที่เน้นการลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้ และประสบความสำเร็จ จนได้รับฉายาว่า “Bond King” หรือ “ราชาแห่งพันธบัตร”
เขาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทจัดการลงทุน
ที่ชื่อว่า Pacific Investment Management Company หรือเรียกสั้น ๆ ว่า PIMCO ซึ่งปัจจุบัน เป็นหนึ่งในบริษัทจัดการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
PIMCO มีการลงทุนที่หลากหลายตั้งแต่ ตราสารหนี้ ตราสารทุน สินค้าโภคภัณฑ์ กองทุน ETF กองทุนเฮดจ์ฟันด์ และไพรเวทอิควิตี้
จากจุดเริ่มต้นของ PIMCO ที่มีทรัพย์สินภายใต้การบริหารไม่ถึง 400 ล้านบาท ในปี 1971 ก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนสูงกว่า 72 ล้านล้านบาท ในปี 2020
โดยการลงทุนที่สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเขาในฐานะผู้จัดการกองทุนอย่างมาก คือการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้
ในปี 2010 Morningstar องค์กรที่ให้บริการข้อมูลและจัดอันดับเปรียบเทียบกองทุนรวมทั่วโลก ระบุว่า “ไม่มีผู้จัดการกองทุนคนไหนอีกแล้ว ที่จะสามารถทำเงินจากการลงทุนในตราสารหนี้ ได้มากกว่า บิลล์ กรอสส์”
แต่ประเด็นน่าสนใจที่เพิ่งเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ คือ
บิลล์ กรอสส์ ได้ออกมาบอกว่า
“การลงทุนในพันธบัตรคือ การลงทุนในขยะ”
ทำไมราชาแห่งพันธบัตร ถึงพูดแบบนี้ ?
เราลองมาทำความเข้าใจกับ ลักษณะที่สำคัญของตราสารหนี้ ไม่ว่าจะเป็นพันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้เอกชนกันก่อน
ตราสารหนี้เป็นสินทรัพย์ทางการเงินที่นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในรูปของ “ดอกเบี้ย” อย่างสม่ำเสมอตามระยะเวลาที่กำหนดไว้
หรือพูดอีกมุมหนึ่งคือ ผู้ที่ลงทุนในตราสารหนี้ จะมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ของผู้ที่ออกตราสารหนี้นั้น
จุดเด่นสำคัญของตราสารหนี้ คือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าเมื่อเทียบกับหุ้น
ยิ่งถ้าผู้ที่ออกตราสารดังกล่าว เป็นรัฐบาลที่มีเครดิตดี และโอกาสน้อยมากที่จะผิดนัดจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ถือตราสาร ความเสี่ยงจากการลงทุนในตราสารหนี้ก็ยิ่งต่ำ
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงต่ำ ก็ไม่ได้แปลว่า ไม่มีความเสี่ยง
เพราะนอกจากความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้แล้ว การลงทุนในตราสารหนี้ ยังมีความเสี่ยงอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ “ความเสี่ยงจากดอกเบี้ยที่กำลังจะปรับตัวเพิ่มขึ้น”
อธิบายกลไกของตราสารหนี้ง่าย ๆ คือ
ความสัมพันธ์ของราคาตราสารหนี้กับอัตราดอกเบี้ยจะสวนทางกัน
หมายความว่า เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลง ราคาตราสารหนี้จะเพิ่มขึ้น และเมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ราคาตราสารหนี้จะลดลง
ทีนี้ย้อนกลับมาถึงในสิ่งที่ บิลล์ กรอสส์ พูดไว้ข้างต้น ซึ่งเขามองว่า การลงทุนตราสารหนี้เริ่มไม่น่าสนใจ เนื่องจาก
- นโยบายอัดฉีดเงินเข้าระบบผ่านการเข้าซื้อสินทรัพย์โดยทางธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) หรือที่เรียกว่าการทำ QE กำลังจะลดขนาดลง
การปรับตัวขึ้นของราคาสินทรัพย์ทางการเงินหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ตราสารหนี้ หรือแม้แต่สินทรัพย์ทางเลือกอย่างคริปโทเคอร์เรนซีในช่วงหลายปีที่ผ่านนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงมาจากการอัดฉีดเงิน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องตลาดการเงินของสหรัฐอเมริกา
โดย Fed ทำการซื้อพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อจำนองค้ำประกันของ Fed รวมกันเดือนละประมาณ 3.9 ล้านล้านบาท อย่างต่อเนื่อง
เรื่องนี้ทำให้ราคาพันธบัตรเหล่านี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐอเมริกา อายุ 10 ปี นั้นลดลง ซึ่งมีอยู่ช่วงหนึ่งอัตราผลตอบแทนดังกล่าวเคยลดลงไปเหลือเพียง 0.5% ในช่วงกลางปี 2020
อย่างไรก็ตาม การที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ Fed เริ่มส่งสัญญาณลดการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบลง หรือที่เรียกว่า QE Tapering
ซึ่งเม็ดเงินที่ลดลงนี้ หมายความว่า ปริมาณการซื้อตราสารหนี้มีแนวโน้มจะลดลง จนทำให้ความน่าสนใจในตราสารหนี้ ลดลงไปด้วย
- แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่กำลังจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
เราอยู่ในจุดที่อัตราดอกเบี้ยนั้นต่ำมาเป็นเวลานานพอสมควร ธนาคารกลางหลายประเทศปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปอยู่ที่ 0% หรือแม้แต่ติดลบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวกลับมาเติบโตเหมือนเดิม
แต่สิ่งหนึ่งที่มักมาพร้อมกับการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจคือ “เงินเฟ้อ” ซึ่งหากเงินเฟ้อมีการปรับตัวขึ้นเร็วจนเกินไป ก็จะส่งผลเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ
เพราะฉะนั้น ธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ อย่างเช่น Fed ก็ต้องมีมาตรการมาควบคุม ไม่ให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นเร็วจนเกินไป
หนึ่งในวิธีที่ทำกันมานาน ก็คือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อให้ดอกเบี้ยในภาพรวมของประเทศปรับตัวสูงขึ้น เพื่อให้ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจและชะลอเงินเฟ้อได้
ขณะเดียวกัน นักลงทุนหรือคนที่ถือพันธบัตรอยู่ในปัจจุบัน พอเห็นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น พวกเขาก็จะเริ่มทยอยขายพันธบัตรที่ถืออยู่ออกมา เพื่อนำเงินไปลงทุนในตราสารหนี้ชุดใหม่ ๆ ที่จะให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่า หรือเอาเงินไปลงทุนในสินทรัพย์อื่น ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า
เมื่อมีการขายตราสารหนี้ออกมาจำนวนมาก ก็จะทำให้ราคาตราสารหนี้นั้นปรับตัวลดลง จนทำให้ผู้ที่ถือตราสารหนี้ โดยเฉพาะยิ่งเป็นตราสารหนี้ระยะยาวอาจจะขาดทุนหนักได้
นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของเงินเฟ้อ ยังทำให้อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (อัตราผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินหักด้วยอัตราเงินเฟ้อ) จะยิ่งลดลงไป ซึ่งหมายความว่า อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงจากการถือตราสารหนี้ ลดลงไปอีก
เมื่อเป็นแบบนี้ ก็จะทำให้มีแรงเทขายตราสารหนี้ออกมาในปริมาณมาก จนอาจทำให้หลายคนที่ลงทุนในตราสารหนี้อยู่ ต้องขาดทุนอย่างหนักมากกว่าเดิมก็เป็นได้
ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า สิ่งที่ บิลล์ กรอสส์ คาดการณ์ไว้เช่นนี้ จะเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน
แต่ก็ต้องยอมรับว่า นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ กำลังจะต้องเจอความท้าทายจากอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่กำลังจะปรับตัวขึ้นหลังจากนี้..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-09-01/bill-gross-says-bonds-are-investment-garbage-just-like-cash
-https://www.investopedia.com/terms/w/william-h-gross.asp
-https://en.wikipedia.org/wiki/Bill_H._Gross
-https://www.ft.com/content/f1a48ac2-36fb-4e7f-8d23-71477f1fc0a4
-https://www.sunsigns.org/famousbirthdays/d/profile/bill-gross/
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過7萬的網紅manopyellow,也在其Youtube影片中提到,วิชาการบัญชีชั้นกลาง 1ผลงานนักศึกษาธุรกิจวิศวกรรม(EB) รุ่นที่ 3 ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร...
「ตราสารหนี้ ตราสารทุน」的推薦目錄:
- 關於ตราสารหนี้ ตราสารทุน 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
- 關於ตราสารหนี้ ตราสารทุน 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
- 關於ตราสารหนี้ ตราสารทุน 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
- 關於ตราสารหนี้ ตราสารทุน 在 manopyellow Youtube 的精選貼文
- 關於ตราสารหนี้ ตราสารทุน 在 Money Coach - ตราสารหนี้ VS ตราสารทุน คืออะไร... - Facebook 的評價
- 關於ตราสารหนี้ ตราสารทุน 在 ตราสารหนี้ (หุ้นกู้) vs ตราสารทุน (หุ้นสามัญ) คืออะไร ต่างกันยังไง 的評價
- 關於ตราสารหนี้ ตราสารทุน 在 ข่าวความเคลื่อนไหว : ปตท. เสนอขาย Digital Bond ผ่าน DIF - PTT 的評價
ตราสารหนี้ ตราสารทุน 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
LHFUND x ลงทุนแมน
LHGDYNAMIC โอกาสการลงทุน กับสินทรัพย์ทั่วโลก
ปีที่ผ่านมา เราได้รับผลกระทบจากวิกฤติโรคระบาดอย่างรุนแรง
ซึ่งส่งผลให้มูลค่าของสินทรัพย์หลายประเภทผันผวน
และปรับตัวลดลงอย่างมาก
แต่ท่ามกลางวิกฤติ ก็ยังมีบางประเทศ ที่สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
หรือแม้แต่บางบริษัทที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
หากเราเป็นหนึ่งในผู้ที่กำลังมองหาโอกาสการลงทุน
ในสภาวะที่หลายเหตุการณ์ยังไม่นิ่ง และยังคงผันผวน
การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท
ก็น่าจะช่วยให้เราลดความเสี่ยง พร้อมกับสร้างโอกาสเติบโตไปพร้อม ๆ กัน
แล้วตอนนี้ มีโอกาสอะไรที่น่าสนใจ?
วันนี้ ลงทุนแมนจะพามารู้จักกับ LHGDYNAMIC
จากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด หรือ LHFund
กองทุน LHGDYNAMIC หรือกองทุน LH Global Dynamic Multi-asset เป็นกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทจากทั่วทุกมุมโลก รวมถึงในประเทศไทย ครอบคลุมตั้งแต่ ตราสารทุน, ตราสารหนี้, กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน
LHGDYNAMIC จะลงทุนผ่าน ETFs หรือ Exchange Traded Fund ซึ่งเป็นกองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ที่มีนโยบายสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของดัชนี หรือราคาของสินทรัพย์อ้างอิง
ข้อดีของการลงทุนผ่าน ETFs ก็คือ มีสภาพคล่องสูง เหมาะสำหรับการปรับสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทในทุกช่วงของการลงทุน
แล้วทำไมเราควรลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท?
เราลองมาดูสินทรัพย์ ที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุดในช่วงที่ผ่านมา
ปี 2017
Top 1 International Emerging Market 38%
Top 2 International Developed Market 26%
Top 3 Large-cap Equity 22%
ปี 2018
Top 1 Cash Alternatives 2%
Top 2 Fixed Income 0%
Top 3 Real Estate -4%
ปี 2019
Top 1 Large-cap Equity 31%
Top 2 Mid-cap Equity 26%
Top 3 Real Estate 23%
จากตรงนี้ จะเห็นได้ว่าแต่ละปีสินทรัพย์แต่ละประเภทจะให้ผลตอบแทนที่ต่างกัน
ซึ่งผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่มากที่สุดในปีใดปีหนึ่ง ไม่ได้การันตีว่าปีถัดไปจะสร้างผลตอบแทนได้แบบเดิม
นั่นจึงทำให้ LHGDYNAMIC มองว่ากองทุนจะมีการปรับเปลี่ยนหมุนเวียนสินทรัพย์โดยใช้สัญญาณ ที่ได้รับการสนับสนุนโดย Invesco ซึ่งจะนำเครื่องมือที่เป็นกรรมสิทธิ์ของทางบริษัทอย่าง Leading Economic Indicators และ Global Risk Appetite Cycle เข้ามาใช้ในการตัดสินใจน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ในพอร์ตการลงทุน
แล้ว Invesco คือใคร?
Invesco เป็นบริษัทจัดการกองทุนขนาดใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา
ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการมากถึง 1.14 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
หรือราว 34 ล้านล้านบาท
ทีนี้เราลองมาดูมุมมองการลงทุนของ Invesco ในปีนี้
มุมมองระยะสั้น
ตราสารทุนทั่วโลก มีแนวโน้มที่จะปรับตัวได้ดีขึ้น หากการกระจายวัคซีนเป็นไปตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ ในขณะที่นโยบายทางการคลังของประธานาธิบดี โจ ไบเดน จะเอื้อต่อตราสารทุนในตลาดเกิดใหม่
มุมมองระยะกลาง
Invesco มองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วโลก จะยังทำให้ดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ และนักลงทุนมีแนวโน้มจะให้ความสนใจกับการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น ซึ่งมันก็จะนำมาสู่ความผันผวนที่สูงขึ้น
สำหรับมุมมองระยะยาว
เศรษฐกิจทั่วโลกยังถูกกดดันจากวิกฤติในปีที่ผ่านมา และยังมีอัตราการเติบโตที่ชะลงตัวลง และการอัดฉัดเงินเข้าระบบมหาศาลจะยิ่งทำให่สภาพคล่องล้นระบบ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดทุนเติบโต
เมื่อนำประกอบกับดัชนีชี้นำต่าง ๆ เช่น ดัชนีความเชื่อมั่นภาคการผลิต, ตลาดแรงงาน และความเชื่อมั่นผู้บริโภค และประเมินจากสภาวะตลาดของแต่ละประเทศ
กองทุน LHGDYNAMIC จึงได้มีการวางกลยุทธ์การลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก โดยแบ่งออกเป็น ตราสารทุน 80% ซึ่งจะกระจายการลงทุนใน
-US Large Cap 22%
-US Small Cap 10%
-Developed Market ex. US 17.5%
-Emerging Markets 30.5%
และสัดส่วนที่เหลืออีก 20% จะเข้าไปลงทุนใน Global Fixed Income หรือ ตราสารหนี้ทั่วโลก
จะเห็นได้ว่า LHGDYNAMIC มีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท โดย ณ ตอนนี้ให้น้ำหนักกับตลาดเกิดใหม่ คิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของพอร์ตการลงทุน
อย่างไรก็ตาม กองทุนก็จะมีการปรับเปลี่ยนสัดส่วนการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่เหมาะสมกว่า ตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนไป
แล้วที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของ LHGDYNAMIC เป็นอย่างไร?
เรามาดูผลการดำเนินงานเฉลี่ยตั้งแต่จัดตั้งกองทุน
เมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานตั้งแต่ 4 ธันวาคม 2563 – 31 มกราคม 2564
LHGDYNAMIC 2.95% ต่อปี
เกณฑ์มาตรฐาน -0.89% ต่อปี
(เกณฑ์มาตรฐาน ประกอบด้วย FTSE All World Return Index USD 80% และ Bloomberg Barclays Global. Aggregate Total Return Index Value Unhedged USD 20%)
จากผลการดำเนินงานในอดีต แสดงให้เห็นว่าการกระจายสินทรัพย์การลงทุนทั่วโลก
ของ LHGDYNAMIC ถือว่าทำได้ดีกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
ในขณะที่ผลการดำเนินงานย้อนหลังจากผลการทดสอบจะพบว่ากองทุนนี้จะสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้ราว 11.1% ต่อปี ตั้งแต่ 1 มกราคม ปี 2003 ถึง 31 สิงหาคม ปี 2020 ซึ่งมากกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ระดับ 9.5%
ถึงตรงนี้ เราก็คงสรุปได้ว่า LHGDYNAMIC ถือเป็นกองทุนที่น่าสนใจ
และเหมาะสำหรับใครก็ตามที่กำลังมองหาการกระจายการลงทุน
ในสินทรัพย์หลายประเภทในกองทุนเดียว
ที่สามารถลดความเสี่ยงจากความผันผวนในตลาดแต่ละปี
รวมถึงมีโอกาสสร้างผลตอบแทนชนะตลาดได้ในเวลาเดียวกัน
สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.lhfund.co.th
หรือโทร 02-286-3484
คำเตือน: ผลการดำเนินงานในอดีต ไม่ได้ยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
ตราสารหนี้ ตราสารทุน 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
ถ้าดอกเบี้ยสูงขึ้น ธุรกิจไหนได้ประโยชน์ เสียประโยชน์ ? /โดย ลงทุนแมน
หนึ่งในสัญญาณที่กำลังบอกเราว่าอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้น
ก็คือ Bond Yield หรือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล
โดยสิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกนิยมใช้อ้างอิงกันมากที่สุดก็คือ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี
เมื่อไม่นานมานี้ อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี
ได้ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1.6% ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา
สาเหตุหลักที่อัตราผลตอบแทนปรับตัวสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากความกังวล ต่ออัตราเงินเฟ้อ
ที่มีโอกาสจะปรับตัวเพิ่มขึ้น
และเมื่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ธนาคารกลางชะลอการอัดเงินเข้าระบบ เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
ล่าสุดคุณ Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ ก็ได้ออกมาระบุว่าจะยังคงเดินหน้าอัดเงินเข้าระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป โดยให้เหตุผลว่าระดับเงินเฟ้อยังคงต่ำกว่าที่คาดการณ์เอาไว้มาก จึงยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องหยุดการอัดฉีดเงินเข้าระบบ และยังไม่มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
แต่ตอนนี้หลายคน น่าจะเริ่มสงสัยกันแล้วว่า
หากในอนาคต มีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น
ธุรกิจไหนบ้าง ที่จะได้ หรือเสียประโยชน์ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
หากมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มสูงขึ้น
กลุ่มธุรกิจแรกที่จะได้ประโยชน์ก็คือ กลุ่มธุรกิจธนาคารพาณิชย์
นั่นก็เพราะว่า ธนาคารสามารถเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้สูงขึ้นตามดอกเบี้ยนโยบาย และมีช่องว่างให้ปรับดอกเบี้ยเงินฝากขึ้นตามในขนาดที่น้อยกว่า หรือช้ากว่า
เรื่องดังกล่าวจะทำให้ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย หรือ Net Interest Margin (%NIM) เพิ่มขึ้น
เมื่อส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ส่วนต่างที่ว่านี้จะไหลลงมาเป็นกำไรของธนาคารทันที
นอกจากธุรกิจธนาคารแล้ว ธุรกิจประกัน
ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่จะได้ประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย
นั่นก็เพราะว่าธุรกิจประกัน จะนำเบี้ยประกันของเราส่วนหนึ่งเป็นกองทุนสำรอง และบริษัทจะนำเงินกองทุนสำรองนี้ไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน
มาดูกันว่าบริษัทประกัน ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน ในสินทรัพย์อะไรบ้าง?
เราลองมาดูตัวอย่างการลงทุนของธุรกิจประกันชีวิต
เช่น บริษัท AIA ประเทศไทย ปี 2562
ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ 9.57 แสนล้านบาท
ได้แบ่งเงินลงทุนในสินทรัพย์ออกเป็น
- ตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร และหุ้นกู้ 79%
- ตราสารทุน หรือหุ้น 13%
- สินทรัพย์อื่นๆ เช่น เงินฝากสถาบัน และอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน 9%
จะเห็นได้ว่าสัดส่วนการลงทุนของบริษัทประกันจะเป็นสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้เป็นหลัก
โดยผลตอบแทนของตราสารหนี้เหล่านี้ จะอ้างอิงตามอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และลดลง
เมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น
เงินที่บริษัทประกันนำไปลงทุนใหม่ (reinvest) จะได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น
รวมไปถึงเบี้ยประกันที่บริษัทรับมาใหม่ ก็จะนำเงินไปลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนสูงขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตามถ้าตราสารหนี้ที่บริษัทประกันลงทุนอยู่เป็นประเภทที่ต้องตีราคาตลาด ก็จะมีโอกาสที่ตราสารหนี้เหล่านั้นจะมีมูลค่าตามราคาตลาดลดลง
แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ตราสารหนี้ที่บริษัทประกันถือ จะถือจนครบกำหนดอายุ โดยไม่ได้ตีราคาตลาด
คำถามต่อมาก็คือ
ใครเสียประโยชน์ จากการขึ้นของอัตราดอกเบี้ย
ธุรกิจแรกที่จะเสียประโยชน์ ก็คือ
ผู้ให้สินเชื่อส่วนบุคคล หรือสินเชื่อบัตรเครดิต ที่เก็บดอกเบี้ยสูง หรือชนเพดาน
เพราะบริษัทจะไม่สามารถขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้สูงกว่านี้ได้แล้ว
ในขณะที่บริษัทเหล่านี้จะมีต้นทุนเป็นการกู้ยืมจากแหล่งอื่นที่สูงขึ้น เช่น หุ้นกู้ หรือตั๋วแลกเงินที่บริษัทเป็นคนออก
นั่นจึงทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของธุรกิจกลุ่มนี้ลดลง
ซึ่งจะกลับข้างกันกับธนาคารพาณิชย์
อีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ก็คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
เพราะการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย
จะทำให้จำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระต่องวดของผู้พักอาศัยเพิ่มขึ้น
ทำให้คนที่จะกู้มาซื้อบ้านมองว่ามีภาระต้องจ่ายหนักขึ้น
ซึ่งอาจส่งผลให้ความต้องการอสังหาริมทรัพย์ลดลงได้
นอกจากในรายกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบแล้ว
การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยยังส่งผลกระทบต่อทุกบริษัท ที่มีภาระหนี้สินสูง
เพราะหากบริษัทไหนยังประสบปัญหาจากวิกฤติ บริษัทเหล่านี้ก็ยังจะต้องกู้เพิ่ม ซึ่งในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยของทางบริษัทก็จะเพิ่มสูงขึ้น
ท้ายที่สุด มันก็จะกดดันให้กำไรบริษัท ลดลง
ซึ่งในกรณีอย่างบริษัทซอมบี หรือบริษัทที่มีความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยต่ำ
ที่กำลังเอ็นจอยกับภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำมาตลอดหลายปี ก็อาจเผชิญกับหายนะ
เราสามารถสรุปได้ว่าหากมีการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนั้น
จะมีกลุ่มธุรกิจที่ทั้งได้ประโยชน์ และเสียประโยชน์
สิ่งที่น่าจับตามองที่สุดในปีนี้ก็คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี
ที่ตอนนี้ได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น จนหลายคนกังวลกันว่ามันจะกลายมาเป็นสัญญาณของเงินเฟ้อ
ในความเป็นจริงแล้ว เงินเฟ้ออ่อนๆ ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันแสดงให้เห็นว่า
มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งในด้านการลงทุน การผลิต และการจ้างงาน
แต่ในอีกมุมหนึ่ง หากเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นมา
เป็นผลมาจากการอัดฉีดเงินจนล้นระบบ
โดยที่ภาคเศรษฐกิจจริงยังไม่ฟื้น
ก็จะถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีนัก
ถึงตรงนี้ ยังไม่มีใครรู้ว่าดอกเบี้ยจะกลับมาเป็นขาขึ้นจริงหรือไม่
แต่อย่างน้อย การทำความเข้าใจว่าธุรกิจไหนจะเป็นอย่างไร ก็ทำให้เราเตรียมพร้อมรับมือได้ และเราก็น่าจะเจอคำตอบ ไปพร้อมๆ กัน ในไม่ช้านี้..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
ตราสารหนี้ ตราสารทุน 在 manopyellow Youtube 的精選貼文
วิชาการบัญชีชั้นกลาง 1ผลงานนักศึกษาธุรกิจวิศวกรรม(EB) รุ่นที่ 3 ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร
ตราสารหนี้ ตราสารทุน 在 ตราสารหนี้ (หุ้นกู้) vs ตราสารทุน (หุ้นสามัญ) คืออะไร ต่างกันยังไง 的推薦與評價
ตราสารหนี้ หุ้นกู้ vs ตราสารทุน หุ้นสามัญ คืออะไร ต่างกันยังไง มาติดตามกันค่ะ.เครดิตภาษีเงินปันผล คืออะไร https://youtu.be/k9yPAGhRYlw. ... <看更多>
ตราสารหนี้ ตราสารทุน 在 ข่าวความเคลื่อนไหว : ปตท. เสนอขาย Digital Bond ผ่าน DIF - PTT 的推薦與評價
เสนอขาย Digital Bond ผ่าน DIF: Web Portal เป็นครั้งแรกของไทย มูลค่ารวม 1 พันล้านบาท ตอกย้ำความเป็นผู้นำพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทยสู่ตลาดทุน ... ... <看更多>
ตราสารหนี้ ตราสารทุน 在 Money Coach - ตราสารหนี้ VS ตราสารทุน คืออะไร... - Facebook 的推薦與評價
ตราสารทุน นั้นจะมีความแตกต่างจากตราสารหนี้ที่ผู้ลงทุนจะมี ฐานะเป็น “เจ้าหนี้ธุรกิจ และไม่มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินและรายได้ของธุรกิจที่ออกตร าสาร” ผู้ถือตราสารทุน ... ... <看更多>