ใน 'ห้องแนะแนว' Clubhouse สองวันก่อน พี่ตุ้ม พี่โจ้ และผม ค่อยๆ ถามไถ่คุณตันถึงบทเรียนที่ได้จากโควิด-19 ว่ามีอะไรบ้าง คุณตันตอบสนุกและยาวมาก มีรายละเอียดมากมาย ขออนุญาตสรุปเพื่อเล่าสู่กันฟังประมาณนี้ครับ
💰 1. ต้องมีเงินออมอยู่เสมอ:
คุณตันพูดถึงประเทศที่เกิดภัยพิบัติธรรมชาติบ่อยๆ อย่างญี่ปุ่น ทำให้ผู้คนตระหนักถึงความไม่แน่นอนของชีวิตว่าสิ่งที่มั่นคงอยู่วันนี้อาจพังทลายลงวันใดวันหนึ่งก็ได้ ถ้าเกิดแผ่นดินไหวหรือคลื่นยักษ์ซัดฝั่ง ฉะนั้น คนในประเทศเช่นนั้นมักมีนิสัยการเก็บออมและถือเงินสดไว้ ประเทศไทยเราอาจไม่มีภัยธรรมชาติถี่ขนาดนั้น แต่โควิดทำให้ได้เห็นว่าชีวิตก็ไม่แน่นอนจริงๆ นั่นแหละ เราจึงควรมีเงินออมติดกระเป๋าไว้เสมอ มีเงินสดเก็บไว้กับตัวเพื่อไม่เสียสภาพคล่องในช่วงที่เหตุการณ์ผันผวนแล้วกระทบธุรกิจการงานของเรา
...
💸 2. หารายได้จากหลายทาง:
การทำธุรกิจเดียวหรืองานการเพียงอย่างเดียวนั้นเสี่ยงเกินไปในยุคสมัยปัจจุบัน แหล่งรายได้นั้นอาจหายวับไปเพื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันหรือวิกฤตที่ไม่ทันรับมือ จะว่าไปไม่เพียงโรคระบาด หากยังน่าคิดว่าเทคโนโลยีที่ disrupt ธุรกิจการงานต่างๆ อย่างรวดเร็วเช่นนี้ย่อมมีโอกาสที่การงานและความถนัดอันเป็นแหล่งรายได้ของเราจะถูกแย่งชิงจากอย่างอื่น เสื่อมความนิยม หรือหมดความจำเป็นได้โดยไม่ทันตั้งตัว โควิดจึงสอนว่าเพื่อความปลอดภัย เราควรมีรายได้หลายช่องทาง หากทางหนึ่งสะเทือน อีกทางก็ยังพอจะพยุงชีวิตได้ เช่นนี้ย่อมหมายความว่า เราต้องเพิ่มความถนัดใหม่ๆ ให้ตัวเอง หรือทดลองธุรกิจใหม่ๆ ไว้เสมอ สำหรับคนไม่มีเวลา คุณตันเสนอแนวทางเป็นคำถามชวนคิดว่า "เสาร์-อาทิตย์เราทำอะไรได้บ้าง"
...
💻 3. อย่าปฏิเสธเทคโนโลยี:
โควิดเร่งให้ทุกสิ่งอย่างเติบโตในโลกออนไลน์ การซื้อขายแพร่กระจายไปทั่ว คนที่เคยไม่คล่องกลายเป็นคล่อง มีกล่องไปส่งที่บ้านกันแทบทุกวัน ฉะนั้น ไม่ว่าทำธุรกิจการงานใดควรศึกษาใส่ใจโลกออนไลน์ไว้ อย่าได้ทิ้ง เพราะโลกมีแต่จะหมุนไปทางนี้มากขึ้นเรื่อยๆ และเร็วขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีการงานเดิมในโลกออฟไลน์แต่ก็ควรเรียนรู้และหาไอเดียใหม่ๆ สำหรับออนไลน์ไว้เสมอ ทิ้งออนไลน์คือทิ้งโอกาสในอนาคต หากเราเป็นคนรุ่นเก่าก็ลองเอ่ยปากถามลูกหลานหรือน้องๆ ดู ให้คนรุ่นใหม่มาช่วยในส่วนที่เขาถนัด บางครั้งก็ต้องยอมรับว่าเราตกยุคไปแล้ว ต้องวางตำแหน่งตัวเองให้ถูก
...
💍 4. แยก 'ทรัพย์สิน' กับ 'ภาระ' ให้ออก:
ตอนนี้อาจมีข้าวของราคาถูกหรือลดกระหน่ำจำนวนมาก ตั้งแต่เล็กอย่างของใช้จนถึงใหญ่อย่างคอนโด ตึกแถว และที่ดิน คำถามว่า ถ้ามีเงินควรซื้อไหม คุณตันตอบว่า "ถ้าซื้อแล้วสร้างรายได้ อันนั้นคือทรัพย์สิน แต่ถ้าซื้อมาแล้วไม่ก่อรายได้ นั่นคือภาระ" อย่างคอนโดที่เราอาจเห็นว่าราคาถูกกว่าช่วงปกติ หากซื้อมาแล้วไม่มีคนเช่า เราต้องจ่ายค่าส่วนกลาง ต้องผ่อน จ่ายดอกเบี้ย นี่คือไปซื้อ 'ภาระ' มา หรือที่ดินที่คิดว่าจะราคาขึ้นในภายภาคหน้า หากตอนนี้ไม่สร้างรายได้ก็อาจเป็นภาระเช่นกัน สถานการณ์เช่นนี้ไม่ควรเพิ่ม 'ภาระ' ให้ชีวิต อะไรที่ซื้อมาแล้วต้อง 'ดูแล' หรือ 'ประคบประหงม' แทนที่สิ่งนั้นจะเลี้ยงดูเรา สำหรับคุณตันล้วนนับเป็น 'ภาระ' ทั้งสิ้น เช่นนี้แล้วจึงควรหันมองสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ด้วยว่า มันคือ 'ทรัพย์สิน' หรือ 'ภาระ' กันแน่
...
⚰ 5. เกิดก็เกิด ตายก็ตาย:
เมื่อลองทำธุรกิจหรือลองทำงานที่หลากหลาย ต้องยอมรับว่ามีทั้งสำเร็จและล้มเหลว อะไรที่จะตายก็ปล่อยให้มันตาย (แน่นอนว่าควรประเมินความเสี่ยงและลงทุนในระดับที่รับได้) อย่าไปกอดมันไว้ ธุรกิจที่ไปไม่ไหวต้องปล่อยมือ แล้วเอาพลังและทุนไปทุ่มกับสิ่งใหม่ ถ้าอาลัยอาวรณ์จะยิ่งหน่วงตัวเอง เลือดไหลไม่หยุด และเสียโอกาสในการเริ่มกับสิ่งใหม่ อย่ากอดความสำเร็จเดิมเด็ดขาด โลกมันเปลี่ยนเร็ว โควิดยิ่งทำให้เร็วขึ้นอีก คนที่อยู่รอดในยุคนี้คือคนที่ 'ยอมรับการตาย' ของสิ่งที่ตัวเองทำได้ แล้ว move on ไปสู่สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
...
🗡 6. อย่าสู้ตาย ให้สู้บ้างหลบบ้าง:
ในวิกฤตใหญ่ขนาดนี้ ลมหายใจของธุรกิจการงานเป็นเรื่องสำคัญ กระทั่งธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบหนัก คุณตันมองว่า ถ้ายังประคองลมหายใจไปได้ คนที่รอดจะได้ผลตอบแทนที่ดียิ่งกว่าเดิม เพราะเมื่อคลี่คลายนักท่องเที่ยวก็จะกลับมา ตอนนั้นคู่แข่งที่เหลือรอดจะมีจำนวนน้อย ที่สำคัญคือต้องประคองลมหายใจเอาไว้ เช็คดูว่าลมหายใจเรายังเหลือยาวหรือสั้น อาจต้องทำอย่างอื่นมาต่อลมหายใจไว้ก่อน สำหรับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบหนัก แล้วอย่าสู้ตาย ให้สู้บ้างหลบบ้าง คือต้องผ่อนในจุดที่จำเป็นต้องผ่อน ปิดบ้าง ลดคนบ้าง หรือตามกลยุทธ์ที่เหมาะสม ไม่ต้องสู้เต็มร้อย สู้ให้พอดี ประคองลมหายใจเอาไว้ รอวันฟ้าเปิด
...
😊 7. ทุกอย่างไม่ว่าอะไร มันจะผ่านไปแน่ๆ:
คุณตันทำธุรกิจผ่านวิกฤตนานัปการไม่รู้กี่รูปแบบ วิกฤตต้มยำกุ้ง, น้ำท่วม, สึนามิ, ความขัดแย้งทางการเมือง มาจนถึงโควิด แต่ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์หนักหนาขึ้น ถึงจุดหนึ่งก็ผ่านไป สิ่งต่างๆ กลับเข้ารูปรอย โควิดก็เช่นกัน คุณตันมองว่ามันก็เหมือนเหตุการณ์อื่น เดี๋ยวมันจะผ่านไป เดี๋ยวมันจะคลี่คลาย แน่นอนว่าหลายอย่างจะเปลี่ยนแปลง แต่มันจะไม่แย่ไปตลอด สิ่งต่างๆ จะต้องกลับมา การมองแบบนี้ทำให้ไม่ท้อแท้ห่อเหี่ยว มองไปข้างหน้า หาโอกาสใหม่ๆ มีพลัง คุณตันบอกว่า เรื่องทัศนคติสำคัญมาก ถ้าเรามองทุกอย่างแย่ เราจะหมดแรง พอหมดแรงธุรกิจจะแย่ลง พอแย่ลงยอดขายหรือรายรับก็จะตกลงไปอีก เราก็จะหมดแรงลงไปอีก ต้องมีความหวังเสมอ เหมือนตอนที่โรงงานชาเขียวมูลค่าพันกว่าล้านโดนน้ำท่วมก็ไม่ท้อแท้ สุดท้ายก็ผ่านไปได้ ถ้ามองไปข้างหน้าแบบนี้จะมีกำลังใจ พอมีกำลังใจก็มีไอเดียสร้างสรรค์ มีพลัง และจะคิดออกว่าจะสู้ต่ออย่างไรดี
คุณตันให้กำลังใจว่า สุดท้ายโควิดก็จะเป็นอีกเรื่องที่ผ่านไป เราเพียงต้องประคองตัวเองให้อยู่ถึงวันนั้น ปรับตัวตามไปด้วยเสมอ แล้วจะมีโอกาสใหม่ๆ ให้เราสนุกกับมัน ถ้าผ่านไปได้ เราจะเข้มแข็ง ทั้งธุรกิจและจิตใจ
#ห้องแนะแนว
#ตุ้มโจ้เอ๋
ตุ้มโจ้เอ๋ 在 Roundfinger Facebook 的最佳貼文
ใน Clubhouse 'ห้องแนะแนว' เมื่อวานนี้มีผู้ฟังท่านหนึ่งถามว่า "ถ้าพี่ๆ อายุ 30 ปี ในวันนี้ สิ่งที่จะบอกตัวเองให้ทำคืออะไร เพื่อทำให้ธุรกิจที่ทำอยู่เติบโตและประสบความสำเร็จ" โดยสมมุติว่า เหมือนบรรดา moderator ทั้งหลายเป็นพี่ชายที่จะบอกน้องชายสักคน ซึ่งก็คือตัวเขานั่นเอง
เปิดด้วยพี่โจ้-ธนา เธียรอัจฉริยะ
"ในมุมเจ้าของธุรกิจ นี่คือช่วงเวลาหาคนเก่งเข้าทีม เราพอจะรู้แล้วว่าเราถนัดอะไร รู้จักผู้คนประมาณหนึ่ง นี่เป็นช่วงเวลาสร้างทีม สะสมคนเก่งๆ มาทำงานกับเรา ช่วยกันพัฒนาธุรกิจต่อไป"
...
คุณตัน ภาสกรนที ตอบว่า
"ผมคงบอกตัวเองให้ไปเที่ยว เดินทางเยอะๆ ไปเห็นโลกเยอะๆ จะได้เก็บสะสมไอเดียใหม่ๆ มาทำธุรกิจ ผมได้ไอเดียมากมายจากการเดินทาง ชาเขียวนี่ก็ได้มาจากการไปญี่ปุ่น ธุรกิจหลายอย่างเกิดขึ้นเพราะไปเห็นสิ่งใหม่ๆ ที่แตกต่างจากเรา ผมเดินทางช้าไปหน่อย ตอนนั้นอายุ 40 กว่าแล้วจึงได้เดินทางเยอะๆ ถ้าเริ่มได้ตั้งแต่ 30 ก็จะสะสมอะไรได้เยอะเลย"
...
ส่วนคำตอบของผมคือ
"ผมคงใช้เวลาตั้งแต่ช่วงเวลานี้เป็นต้นไปในการสะสมผู้คนในชีวิต เก็บรักษาพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ที่รู้จักกันไว้ให้ดี ทำความรู้จักคนใหม่ๆ และพยายามเป็นน้องที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพี่ที่ดีของคนอื่น เพราะถ้าเราเป็นแบบนั้นเราจะเก็บรักษามิตรภาพเอาไว้ได้ ซึ่งผู้คนเหล่านี้เองจะมอบโอกาส ไอเดีย คำแนะนำ และนำพาเราไปสู่ผู้คนใหม่ๆ ในอนาคต เดินทางมาถึงวันนี้ผมได้รู้ว่า ชีวิตของเราประกอบขึ้นจากคนอื่นทั้งนั้นเลย เราไม่มีทางทำสิ่งที่ทำอยู่ได้สารพัดอย่างถ้าไม่มีความช่วยเหลือจากเพื่อนพี่น้องที่รายล้อมเรา"
...
พี่ตุ้ม-หนุ่มเมืองจันท์ ปิดท้ายว่า
"ผมคงถามตัวเองว่า สิ่งที่ต้องการจริงๆ ในชีวิตคืออะไร แล้วมุ่งหน้าไปในทิศทางนั้น เมื่อเรารู้แล้วว่าเราต้องการอะไร แค่ไหน ตอบตัวเองได้ชัดเจน เราก็จะมีคำตอบต่อไปว่าจะทำอะไรต่อไป นี่คือช่วงเวลาที่เราพอมีทุนและประสบการณ์พอสมควรแล้ว ถ้าตอบตัวเองได้ก็จะใช้ทั้งสองสิ่งนั้นนำพาตัวเองไปต่อได้แบบไม่หลงทาง"
...
คุณตันฟังครบทุกคนแล้วบอกกับเจ้าของคำถามว่า "นี่ครบทุกอย่างแล้ว ถ้าคุณมีครบทุกอย่างนี้คุณประสบความสำเร็จ รวยๆๆ แน่นอน หาคนเก่งๆ มาร่วมทีม, เดินทางเสาะหาไอเดียใหม่ๆ, สะสมคอนเน็กชั่นที่ดี, และรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ทำได้ทั้งหมดนี้คุณสำเร็จแน่นอน" คุณตันให้กำลังใจปิดท้าย
...
ยังมีเนื้อหาที่จดมาอีกเยอะมากจากห้องที่ทั้งคมทั้งขำจากคำตอบของคุณตันเมื่อคืนนี้ ขอบคุณผู้ฟัง 3-4 พันคนที่อยู่ด้วยกันแบบไม่ยอมไปไหนตั้งแต่สองทุ่มจนถึงเที่ยงคืนกว่า (ข้ามวันกันอีกแล้ว) จนจะเปลี่ยนชื่อห้องเป็น "คุยข้ามวันข้ามคืน" แทนแล้ว 555
ขอบคุณผู้ฟังทุกคนด้วยนะครับ ขอบคุณพี่ตุ้มพี่โจ้ และที่สำคัญ ขอบคุณคุณตันมากๆ ครับที่มามอบทั้งสติปัญญาและความบันเทิงแบบจริงใจสุดๆ (กระทั่งฉี่ยังไม่ปิดไมค์ 555)
แล้วพบกันใหม่ใน 'ห้องแนะแนว' (คุยข้ามวันข้ามคืน) ครับ :)
#ห้องแนะแนว
#ตุ้มโจ้เอ๋
ตุ้มโจ้เอ๋ 在 Roundfinger Facebook 的最佳貼文
บทเรียนจากเลือดเนื้อของผู้ล้มเหลวจนสำเร็จ
---
เนื้อๆ จาก Clubhouse มาราธอน สองทุ่มถึงเฉียดตีหนึ่งใน 'ห้องแนะแนว' กับแขกพิเศษ 'สุพจน์ ธีระวัฒนชัย' แห่งโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง รุมถามโดย หนุ่มเมืองจันท์, ธนา เธียรอัจฉริยะ และนิ้วกลม
🔴 เริ่มจากติดลบ
ในช่วงท้ายหลายคนขึ้นมาเล่าปัญหาและถามคำถาม พี่พจน์บอกว่า "ผมเกิดมาพร้อมปัญหา ชีวิตย่อมมีปัญหา ปัญหาเป็นเรื่องธรรมดา" คำพูดนี้ย่อมมีน้ำหนักเมื่อออกจากปากของคนที่ต้องซื้อก๋วยเตี๋ยวถุงละ 3 บาท 2 ถุง ขอน้ำซุปเยอะมากินกับครอบครัว 5 คนตั้งแต่เด็ก ผู้มีความฝันว่า "ถ้ารวยจะกินก๋วยเตี๋ยวโดยไม่ต้องกินพร้อมข้าว" คำบอกเล่าเรื่องราวในวัยเด็กฉายภาพให้เห็นว่าเจ้าของโรงเบียร์พันที่นั่งหลายสาขา ณ ตอนนี้ไม่ได้มีชีวิตสุขสบายแต่อย่างใดในอดีต
"พี่พจน์ทำงานอะไรมาบ้าง" เมื่อได้ยินคำถามนี้ เขาตอบว่า "คุณจะเอาตั้งแต่อายุเท่าไหร่ล่ะ"
เขาทำมาสารพัด ตั้งแต่ช่วยแม่ทำขนมตอนประถมต้น ตั้งแผงขายขนมเองตอน ป.3 พับนสพ.เป็นถุงกระดาษ ทำเสื้อยืด ทำแบรนด์เสื้อยืด ก่อนจะมาทำธุรกิจหมู่บ้านจัดสรร และโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงในที่สุด
แน่นอนว่าระหว่างทางเรียงรายด้วย 'ความล้มเหลว'
เคยเป็นหนี้มากสุดตอนโรงงานทำเสื้อยืดเจ๊ง เป็นหนี้ 29.6 ล้าน
...
🔴 ความล้มเหลวจูงมือมากับความอวดดี
แบรนด์เสื้อยืดแยมแอนด์ยิมกำลังรุ่ง ทำกำไรได้เดือนละห้าแสนบาทในยุค 30 ปีก่อน (นับว่าเยอะมาก) แต่ความผิดพลาดหลายอย่างทำให้เงินขาดมือ หมุนไม่ทัน ส่วนสำคัญคือนำไปลงทุนกับการซื้อใบจองที่ดินและตึกแถว หวังทำกำไรเพิ่ม แต่กลับเจ๊ง พี่พจน์บอกว่ามันทำให้เราเห็นว่าเราไม่มีวินัย ไม่ซื่อสัตย์กับลูกรักของตัวเอง (แบรนด์เสื้อยืด) เมื่อเอาเงินออกจากธุรกิจหนึ่งไปใส่อีกธุรกิจจึงทำให้พังไปด้วยกัน นี่คือบทเรียนสำคัญที่ได้เรียนรู้
ตอนที่ขายใบจองตึกแถวได้เงินมาหนึ่งแสนบาท เขาใช้เงินอย่างสบายใจ ชวนครอบครัวไปหาน้องชายที่ญี่ปุ่น แป๊บเดียวเงินก้อนนั้นก็หมดเกลี้ยง "พอทำได้เราก็มีอัตตา พอคุณทำได้ คุณจะเริ่มอยากกำหนดโลกของตัวเอง" พี่พจน์บอกว่าความมั่นใจที่เกิดจากความสำเร็จเป็นเรื่องต้องระวัง เพราะความอวดดีมักจูงมือความล้มเหลวมาด้วยเสมอ
เขายังได้เรียนรู้อีกว่า การไม่มีระบบบัญชีชัดเจน ไม่ให้เงินเดือนตัวเอง อยากหยิบเท่าไหร่ก็หยิบออกไปใช้ก็ทำให้ระบบบัญชีของบริษัทเกิดปัญหา
การล้มครั้งนี้ทำให้เป็นหนี้มหาศาล หนี้ก้อนหนึ่งก่อหนี้ก้อนถัดไป เหมือนลูกบอลหิมะที่ยิ่งกลิ้งลงเขาก็ยิ่งก้อนใหญ่ขึ้น ยิ่งเมื่อคิดหวนถึงความสำเร็จเดิมที่สะสมมาแล้วทำมันพังลงกับมือก็ยิ่งเสียใจ เสียดาย ผิดหวัง จนเกิดภาวะ 'ล้มละลายทางจิตใจ' กระทั่งเคยคิดจบชีวิต
...
🔴 อะไรที่ฟื้นหัวใจทำให้ลุกสู้อีกครั้ง
"ผมเชื่อในกรรมดี" พี่พจน์ย้ำคำนี้หลายหน สิ่งที่ทำให้เขายังไม่จบชีวิตตามที่จินตนาการวางแผนในหัวคือคนรอบตัว มองไปที่ครอบครัวก็คิดได้ว่าต้องอยู่ดูแล และที่สำคัญคือ เพื่อนที่มานั่งข้างๆ ในวันที่ย่ำแย่ที่สุด เพียงรับฟัง ไม่ปลอบ ไม่พูดอะไร ชงเหล้ารินเบียร์ให้และอยู่ข้างกัน "มันทำให้เรารู้ว่ายังมีคนรักเรา เราตายไม่ได้"
'กรรมดี' ที่ว่าคือเขาไม่เคยคิดร้ายกับใคร ไม่มีศัตรู และมีมิตรแท้
แล้วเขาก็ค่อยๆ คิดได้ว่า อายุตัวเองยังน้อยเกินกว่าจะลาโลกไป มีอะไรอีกหลายอย่างที่อยากทำ หลายสถานที่ที่ยังอยากไปเห็น รวมถึงความรู้สึกเบื้องลึกที่อาจสั่งสมมาตั้งแต่วัยเด็กว่า "ผมเป็นผู้แพ้ไม่ได้" ทำให้เขาออกเดินทางถามไถ่เพื่อนเพื่อขอความช่วยเหลือทั้งกำลังใจและกำลังทรัพย์ กู้เงินจากเพื่อนมาเพื่อเริ่มใหม่
"มิตรสหายที่ดีเป็นสิ่งสำคัญมากของชีวิต ให้คุณลองพิจารณาดีๆ ว่า คนที่คบหาอยู่เป็นมิตรสหายหรือเพียงคนรู้จัก มิตรที่ดีจะโอบอุ้มเราเวลาเราย่ำแย่ เพื่อนแท้ไม่ต้องมีมาก แต่ต้องมีไว้ในชีวิต สิ่งที่ชีวิตนี้ผมไม่ยอมสูญเสียเด็ดขาดคือมิตรสหายที่ดี"
...
🔴 ตอนเป็นหนี้ 'เวลา' สำคัญที่สุด
บทเรียนจากความล้มเหลวที่ไปกู้หนี้ยืมสินคนอื่นมาทบทวีเป็นบอลหิมะ ดอกเบี้ยงอกทุกวินาทีที่เข็มนาฬิกาเดิน ทำให้พี่พจน์ได้บทเรียนสำคัญว่า "หนี้คือความทุกข์แสนสาหัส"
"เวลาเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น" หากมีสินทรัพย์ที่สามารถขายมาลดหนี้ที่มีได้ ต้องยอมขายในราคาถูก ในราคาที่คนอยากซื้อ เพราะจะได้เงินมาทำให้หนี้เหลือก้อนเล็กลง ดอกเบี้ยจะได้สาหัสน้อยลงด้วย นี่คือคำแนะนำสำคัญจากพี่พจน์ ไม่ต้องหวงทรัพย์สินหรือพยายามขายให้ได้ราคาที่ตั้งใจไว้ "คุณไปกดเครื่องคิดเลขดูดีๆ แล้วคุณจะเห็นว่า การขายในราคาสูงกว่าอาจไม่คุ้มเท่าขายได้เร็วกว่า เพราะดอกเบี้ยของเงินต้นที่สูงมันเหมือนสนิมที่กินเนื้อคุณไปทุกวัน"
ขายทุกสิ่งเท่าที่นึกออก ลดขนาดหนี้ เจรจากับเจ้าหนี้ แล้วลุกขึ้นใหม่พร้อมบทเรียนที่ได้จากความล้มเหลวเพื่อจะไม่ล้มแบบเดิมอีก
"ความล้มเหลวทำให้กลัว แต่มันทำให้เรารอบคอบมากขึ้น และเมื่อรอบคอบมากขึ้น เราจะกล้ามากขึ้น"
...
🔴 แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
พี่พจน์ยังล้มเหลวอีกครั้งกับการเจ๊งในธุรกิจบ้านจัดสรร จากนั้นบ้านเมืองเข้าสู่บรรยากาศช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 ไม่มีใครกล้าเริ่มต้นทำอะไร แต่ ณ ตอนนั้นพี่พจน์และคุณเสถียร เศรษฐสิทธิ์ มีไอเดียอยากทำโรงเบียร์ที่ขายอาหารไทยราคาคนไทย
เงินไม่มี แต่มีฝัน พี่พจน์ออกเดินตระเวณขอยืมเงินเพื่อนมาทำธุรกิจอีกครั้ง
"ทำไมเพื่อนให้ยืม?"
"เพราะผมไม่เคยเบี้ยว ติดหนี้ใครผมใช้คืนทุกคน เขาเลยไว้ใจ" และน่าจะเป็นเพราะความเป็นคนจริงและเป็นมิตรที่ดีนี่เองที่เป็นเกราะป้องกันพี่พจน์จากโชคชะตาเลวร้ายนานาประการ
โรงเบียร์เยอรมันตะวันแดงเปิดไม่ถึงสามเดือน จากคนมา 40 คนในช่วงแรก กลายเป็นต้องต่อคิวรอ "วันนั้นแหละ ผมรู้แล้วว่ารอด"
แล้วโรงเบียร์ฯ ก็ขยายกิจการมากมายอย่างที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน
...
🔴 อย่าขี้ขลาด ลุกจากเก้าอี้!
ความสำเร็จที่เราเห็นในวันนี้จึงผ่านเส้นทางโชกโชนอาบเลือดอาบเหงื่อ เต็มไปด้วยร่องรอยแผลฉกรรจ์ แต่มาถึงวันนี้พี่พจน์บอกว่า "ผมรู้สึกขอบคุณชีวิตตัวเอง ขอบคุณทุกอย่าง ขอบคุณทุกการเฆี่ยนตี ไม่อย่างนั้นคงไม่มีผมในวันนี้ ชีวิตเหมือนเสื้อผ้า เราเลือกเสื้อผ้าที่จะสวมได้ ถ้าเลือกตัวที่สดใสมันก็จะสดใส"
"ความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ เวลาคุณทำงาน ผมก็ยังผิดพลาดอยู่ทุกวัน ความผิดพลาดไม่ได้น่ากลัว ที่น่ากลัวคือไม่รู้ว่าผิด พอรู้แล้วก็แก้ไขมัน"
หลังฟังคำถามจากเพื่อนผู้ฟังร่วมห้องมาเป็นเวลากว่าสองชั่วโมง พี่พจน์บอกว่า "หลายคำถามสะท้อนให้เห็นว่าพวกเรามีความกลัว กลัวล้มเหลว กลัวผิดหวัง กลัวจะไม่ชอบ กลัวทำได้ไม่ดี คุณกลัวได้ถ้าไม่มีเงื่อนไขในชีวิต ถ้าไม่ต้องดูแลพ่อแม่พี่น้อง แต่ชีวิตคุณมันมีความจำเป็นให้ต้องลงมือทำ มีคนที่เราต้องดูแล อย่าไปกลัว อย่าขี้ขลาด อย่าไปมัวแต่นั่งคิดอยู่บนโซฟา อย่าอยู่แต่กับหน้าจอ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ออกเดิน ลงมือทำ แล้วเรียนรู้จากมัน"
...
🔴 ความล้มเหลวอันมีค่า
ตลอดเวลาเฉียดห้าชั่วโมงที่นั่งฟังชีวิตของพี่พจน์ ผมได้รับพลัง กำลังใจ แง่คิด และซึบซับความรู้สึกจากประสบการณ์เข้มข้นที่ล้มแล้วลุกครั้งแล้วครั้งเล่าของเขาว่า "ถ้าไม่ล้มคงไม่มีวันนี้"
การล้มเหลวทำให้อุดรูโหว่ ลดข้อผิดพลาด ลดอัตตา จดจำบาดแผล และเติบโต สิ่งสำคัญคือ สะสมมิตรสหายที่ดีเอาไว้เสมอ เพราะในวันที่มืดที่สุด มิตรคือแสงสว่างเหมือนเทียนเล่มน้อยให้เราจุดไฟในตัวขึ้นใหม่ กระทั่งกลายเป็นคบเพลิงแห่งความหวังได้อีกครั้ง
ทุกความล้มเหลวเมื่อผ่านมาได้จะกลายเป็นเรื่องเล่าที่ทรงพลัง
ไม่มีใครอยากล้มเหลว แต่สำหรับคนที่ลงมือทำคงไม่มีใครหลีกเลี่ยงมันได้เช่นกัน
และยิ่งรับฟังเรื่องราวความสำเร็จของผู้คนมามากขึ้นๆ ก็ยิ่งยืนยันทุกครั้งไปว่า ความล้มเหลวคือองค์ประกอบของความสำเร็จ
"ชีวิตเกิดมาพร้อมปัญหา" พี่พจน์ว่าไว้เช่นนั้น
อย่าไปกลัว ลุกจากเก้าอี้ แล้วออกเดิน
#ห้องแนะแนว
#ตุ้มโจ้เอ๋
#ขอบคุณพี่พจน์อย่างสูงครับ
ตุ้มโจ้เอ๋ 在 ชอบที่เธอเป็นเธอ - ตุ่ม ลายเซอ 「Cover Version」 - YouTube 的推薦與評價
เพลง : ชอบที่เธอเป็นเธอศิลปิน : ตุ่ม ลายเซอดนตรีcover : Jeffy Naphatถ่ายทำ:น้อยโหน่ง,แซ็ก หลานยายแหม่มนักแสดงรับเชิญ:ไข่มุก พิชญาตัดต่อ ... ... <看更多>
ตุ้มโจ้เอ๋ 在 #ตุ้มโจ้เอ๋ - अन्वेषण गर्नुहोस् - फेसबुक 的推薦與評價
Facebook मा #ตุ้มโจ้เอ๋ अन्वेषण गर्नुहोस्. ... <看更多>