สรุปประเด็นจากห้อง Clubhouse
ทำไมเงินถึงไหลเข้ากองทุน ESG ถึง 1,000,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ?
Clubhouse BBLAM x ลงทุนแมน
ถ้าพูดถึง Theme การลงทุนพลังงานสะอาด หลายคนก็มักจะติดภาพความน่าเบื่อ และไม่ตื่นเต้น
แต่หลังจากที่ ลงทุนแมน ได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์คือ คุณมทินา วัชรวราทร CFA®, Head of Investment Strategy กองทุนบัวหลวง ในวันพุธที่ 22 กันยายน ที่ผ่านมา
ก็พบว่า Theme พลังงานสะอาด ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่หลายคนคิด นอกจากนั้นยังเป็น Theme ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงรอบใหญ่ของโลก และยังเกี่ยวโยงกับหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตในอนาคต อีกด้วย
ความน่าสนใจของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร
ลงทุนแมนจะมาสรุปให้ฟังง่าย ๆ 9 ข้อ..
1. ทำไมกระแส ESG จึงกลายเป็นที่พูดถึงในตอนนี้ ?
พลังงานสะอาดคือ เทรนด์การลงทุนที่สำคัญมากในอนาคต และไม่ใช่แค่เทรนด์ระยะสั้น
สังเกตได้จากเม็ดเงินที่ไหลเข้ากองทุน ESG ทั่วโลกแตะ 1,000,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ อ่านว่า “1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ” เป็นครั้งแรก
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในยุโรป และการลงทุนใน ESG ยังให้ผลตอบแทนที่ดีด้วย จึงเป็นหลักของการลงทุนที่เรียกว่า Green and Great Return
ถ้าเราลองมาดูผลตอบแทนของ กองทุน Pictet Global Environmental กองทุนรวมที่ลงทุนในธุรกิจที่ดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นกองทุนหนึ่งที่ B-SIP เข้าไปลงทุน ก็ให้ผลตอบแทนดีในหลายไตรมาส
และหากลงทุนตั้งแต่ก่อตั้งกองทุนในปี 2014 ก็จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 14.92% ถือว่าทำได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับการลงทุนในดัชนีโลกที่มีทั้ง ESG และไม่มี ESG ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 10%
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การลงทุนกองทุนที่ลงทุนในธุรกิจที่ดูแลสิ่งแวดล้อมให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
ก็เป็นเพราะว่าบริษัทที่ยึดหลัก ESG จะมีคุณภาพทั้งด้านรายได้ กำไร และผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น ดีกว่า บริษัททั่ว ๆ ไป
ทำให้สามารถกำหนดราคาสูงขึ้นได้ ดึงดูดคนที่มีความสามารถเข้ามาร่วมงานได้ง่าย รวมทั้งยังมีโอกาสด้านต้นทุนการกู้ยืมที่ถูกกว่า เสียดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า และธนาคารปล่อยสินเชื่อง่ายกว่าอีกด้วย
2. ทำไม พลังงานสะอาด จะเป็นการเปลี่ยนแปลงรอบใหญ่ของโลก ?
สิ่งที่ทำให้ กองทุนบัวหลวงมองว่า พลังงานสะอาดจะไม่ใช่เทรนด์ระยะสั้น
ก็คือการสังเกตคลื่นนวัตกรรมเปลี่ยนโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ผ่านมาแล้ว 5 คลื่นด้วยกัน นั่นคือ
- คลื่นที่ 1 คือ การปฏิวัติอุตสาหกรรม
- คลื่นที่ 2 คือ การเริ่มใช้พลังงานไอน้ำ
- คลื่นที่ 3 คือ การใช้รถยนต์แทนม้า
- คลื่นที่ 4 คือ การเดินทางโดยเครื่องบิน
- คลื่นที่ 5 คือ โลกออนไลน์ เช่น Microsoft, Facebook, Amazon, Netflix
สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่กินระยะเวลายาวนานหลายสิบปี และนำมาซึ่งกิจการขนาดใหญ่ที่มีความมั่งคั่งมากขึ้น
แต่ในโลกอีก 25 ปีข้างหน้า สิ่งที่จะกลายเป็นประเด็นสำคัญ และทั่วทั้งโลกกำลังเผชิญเหมือนกันอยู่ก็คือ “ภาวะโลกร้อน”
เพราะฉะนั้น คลื่นที่ 6 ก็คือ “เทคโนโลยีพลังงานสะอาด” ซึ่งจะเป็นหนึ่งเทรนด์ต่อจากนี้ไปอีก 25 ปี พร้อม ๆ กับ Robotics, Drones, AI, IoT สิ่งนี้เองที่จะเป็นแนวทางให้เราได้ว่า โลกในอนาคตจะเป็นไปในทิศทางไหน แล้วเราควรจะลงทุนอะไรต่อไป
3. สัญญาณสำคัญที่ชี้ว่า โลกกำลังอยู่ในช่วงต้น คลื่นที่ 6 พลังงานสะอาด คืออะไร ?
กองทุนบัวหลวงมองว่า Megatrends จะต้องมี 3 องค์ประกอบ คือ
1. ความร่วมมือระดับโลก
2. การเห็นด้วยจากรัฐบาล
3. ความร่วมมือภาคเอกชน
เมื่อครบทั้ง 3 องค์ประกอบนี้ เงินลงทุนก็จะหลั่งไหลมายังเทรนด์นั้น ๆ อย่างแน่นอน ซึ่งเทรนด์ ESG ตอนนี้มีครบทั้ง 3 องค์ประกอบเรียบร้อยแล้ว
เริ่มต้นด้วยความร่วมมือระดับโลกคือ ข้อตกลง Paris Agreement จาก UN
ที่ต้องการให้ประเทศต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันภัยพิบัติต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อน
ต่อมาคือ การขานรับนโยบาย จากรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจ
เราได้เห็นประเทศต่าง ๆ ในยุโรปมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น
- European Green Deal เพื่อที่จะลดการปล่อยคาร์บอนให้เหลือศูนย์ ภายในปี 2050
- European Climate Law กฎหมายที่พูดถึงการลดการปล่อยมลพิษลงอย่างน้อย 55% ภายในปี 2030
นอกจากนี้มหาอำนาจอย่าง “สหรัฐอเมริกา” ก็ได้จัดตั้งแผนงบประมาณด้านสิ่งแวดล้อม เช่น
- แผนที่ 1 วงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการผลิตรถยนต์ EV และแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน
- แผนที่ 2 วงเงิน 5.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสีเขียว ซึ่งภายในปี 2035 สหรัฐอเมริกาตั้งเป้าจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 40% ของพลังงานทั้งหมด
ขณะเดียวกัน มหาอำนาจซีกโลกตะวันออกอย่าง “จีน” ที่แม้จะยังคงใช้พลังงานถ่านหินเป็นหลัก แต่ก็มีการคาดการณ์ว่าจะมีสัดส่วนพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2035 เป็นต้นไป
โดยล่าสุดประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังกำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อม ไว้ในแผนการพัฒนาประเทศฉบับที่ 14 ซึ่งจะลดการปล่อยคาร์บอนต่อสัดส่วนของ GDP ลง 65% และจะเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน 25% ภายในปี 2030 อีกด้วย
หรือประเด็นรถยนต์ไฟฟ้า แม้ในปี 2020 ยุโรปขายรถยนต์ EV ไปแล้ว 1.3 ล้านคน ขณะที่จีนขายรถยนต์ EV ไปแล้ว 1.2 ล้านคัน แต่ก็มีการคาดการณ์ว่าจีนจะสามารถแซงหน้าและกินส่วนแบ่ง 20% จากตลาดรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2025 ได้ไม่ยากเลย
4. แล้วภาครัฐและภาคเอกชน เชื่อมั่นใน Megatrends เรื่องพลังงานสะอาด แค่ไหน ?
ผลสำรวจของ UBS หรือธนาคารเพื่อการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์
ที่ได้สอบถามองค์กรต่าง ๆ ว่าอยากลงทุนใน Theme อะไรเป็นอันดับหนึ่ง
ปรากฏว่า 2 ใน 3 ตอบว่า จะลงทุนในพลังงานสะอาด เพราะเป็นปัญหาที่โลกเราต้องแก้ไข และยังให้ผลตอบแทนที่ดีด้วย
ซึ่งหากลงทุนในด้านพลังงานทดแทนเป็นระยะเวลา 5 ปี เมื่อเทียบกับการลงทุนในพลังงานแบบเก่า
จะเห็นว่า ผลตอบแทนแตกต่างกันค่อนข้างมาก จุดนี้เองที่บอกว่ามันคือ Green and Great Return
นอกจากนี้กองทุนใหญ่ ๆ ก็ประกาศเข้ามาลงทุนในเรื่องพลังงานสะอาดเช่นกัน
เช่น Cathie Wood ผู้จัดการกองทุน ETF ARK
ประกาศว่าจะทำกองทุน ETF ใหม่ ที่ใช้ ESG Score ทั้งสามด้าน
คือ ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
โดยจะไม่ลงทุนในบริษัทที่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม หรือไม่ส่งผลดีต่อสังคม
ขณะเดียวกัน กองทุนมหาวิทยาลัย Harvard ที่มีขนาด 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็ประกาศหยุดการลงทุนในบริษัทที่ผลิตพลังงานฟอสซิลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
รวมทั้งบริษัทผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Saudi Aramco ก็ประกาศลงทุนในพลังงานสะอาด
โดยลงทุนในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในซาอุดีอาระเบีย
นอกจากนี้ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ยังวางเป้าหมายประเทศว่าจะใช้พลังงานสะอาดให้ได้ 50% ภายในปี 2030 และจะไม่ได้ลงทุนแค่พลังงานลมและแสงอาทิตย์ แต่ยังลงทุนในพลังงานไฮโดรเจน อีกด้วย
5. แล้วอะไรคือ ความเสี่ยงของเทรนด์ ESG และพลังงานสะอาด ?
ความเสี่ยงของ ESG พลังงานสะอาดอย่างแรกคือ กองทุนที่เสนอขายเป็น ESG จริงหรือไม่ แล้วมีมาตรฐานขอบเขตการลงทุนด้านพลังงานสะอาดที่ชัดเจนจริง ๆ หรือไม่
ความเสี่ยงที่สองคือ ต้องระวังว่าบริษัทที่เกี่ยวกับพลังงานสีเขียวนี้ มีราคาแพงไปแล้วหรือยัง มีฟองสบู่ที่เรียกว่า Green Bubble จากเม็ดเงินที่เข้าไปลงทุน 1.65 แสนล้านในปี 2019 และอีกกว่า 3.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 อยู่หรือไม่
ดังนั้น วิธีการลงทุนที่สำคัญ คือ การเลือกกองทุนที่ใส่ใจเรื่อง Valuation และใช้เรื่องมูลค่ามาเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญในการลงทุน
6. แล้วเราควรเลือกลงทุนใน ธุรกิจพลังงานสะอาด อย่างไร ?
เราลองมาดูตัวอย่างธุรกิจที่เกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้า การขนส่ง การทำการเกษตร ว่าจะสามารถ Green and Great Return ไปพร้อมกับการให้ผลตอบแทนที่ดีได้จริงหรือไม่
เริ่มต้นที่ Orsted บริษัทพลังงานลมนอกชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกของเดนมาร์ก เดิมทีเคยเป็นบริษัทพลังงานถ่านหินเก่าแก่มาตั้งแต่ปี 1972 โดย 85% ของการผลิตไฟฟ้ามาจากฟอสซิล
จากนั้นในปี 2008 ก็พลิกธุรกิจครั้งใหญ่มาสู่เส้นทางพลังงานสะอาด โดย 85% ของการผลิตไฟฟ้ามาจากพลังงานสีเขียว และเดินทางสู่การเป็นบริษัทพลังงานลมที่ใหญ่ที่สุดของโลกได้สำเร็จ
ซึ่งรู้หรือไม่ว่า กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF บริษัทพลังงานของไทย ก็ได้ร่วมลงทุนใน Orsted เช่นกัน เพราะมองเห็นนวัตกรรมของพลังงานลมที่ดีที่สุดในโลกของ Orsted โดย 1/3 ของพลังงานลมของโลก มาจากบริษัทนี้
ที่น่าสนใจก็คือ ราคาของพลังงานลม ถูกกว่า ราคาพลังงานของถ่านหินไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2018 และยังคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 พลังงานลมและแสงอาทิตย์จะเป็นแหล่งพลังงานที่ถูกที่สุดในโลก
ในแง่ของ Green and Great Return อย่าง Orsted เริ่มเข้าตลาดปี 2016 ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ราคาปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 96% ต่อปี
ขณะเดียวกันยังมีรายได้เติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี และจะเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปอย่างน้อยถึงปี 2050 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังมีโอกาสขยายตลาดไปยังประเทศต่าง ๆ ได้อีกมาก เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น
7. ธุรกิจพลังงานสะอาดที่ไม่พูดไม่ได้ในตอนนี้ ก็คือ EV ?
เราทราบดีอยู่แล้วว่า หนทางลดปัญหามลภาวะจากการใช้รถยนต์ก็คือ การหันมาใช้รถยนต์ EV หรือรถไฟฟ้า แต่สงสัยไหมว่า ทำไมเทรนด์นี้จึงกลายเป็นโอกาสลงทุนมหาศาลในอนาคต
จากข้อมูลคาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ EV จะเพิ่มขึ้น 18 เท่าในอีกสิบปีข้างหน้า แสดงว่าอาจเพิ่มขึ้นสองเท่าทุก ๆ ปี ซึ่งในอนาคตรถยนต์ทั่วโลกจะกลายเป็นรถยนต์ EV อย่างน้อย 80%
เหตุผลก็เพราะว่า ราคารถยนต์ไฟฟ้าจะถูกลงเรื่อย ๆ สังเกตได้จาก ลิเทียมไอออนแบตเตอรี่ ที่มีราคาถูกลง 88% เมื่อเทียบกับสิบปีก่อน หากราคายังคงลดลงเรื่อย ๆ ก็เชื่อว่า ราคารถยนต์ EV และรถยนต์สันดาป จะมีระดับราคาใกล้เคียงกัน
นอกจากนี้ นโยบายของประเทศแถบยุโรปยังให้ความสำคัญเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยจะยกเลิกการขายรถยนต์สันดาปแล้วจริง ๆ เช่น สวีเดน ประกาศยกเลิกในปี 2025 หรืออังกฤษ ก็ประกาศยกเลิกในปี 2035
พอเป็นแบบนี้ แบรนด์รถยนต์ต่าง ๆ จึงต้องปรับตัวกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เก่าแก่อย่าง Honda, Toyota หรือแบรนด์ใหม่อย่าง Tesla, BYD, XPeng แม้กระทั่งค่ายเก๋าอย่าง Harley-Davidson, Porsche ก็ต้องปรับตัวตามเช่นกัน
ที่น่าสนใจก็คือ การเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมรถยนต์รอบนี้ ทิศทางเงินลงทุนไม่ใช่แค่ส่วนของรถยนต์ EV เพียงอย่างเดียว แต่จะไปถึง Supply Chain ต่าง ๆ ทั้งหมด เช่น
- บริษัทผลิตแบตเตอรี่
- บริษัทชิป Semiconductor
- บริษัท Software ที่ทำ ADAS (รถยนต์ไร้คนขับ Autonomous Driving) และบริษัท Simulation ทำการจำลองการขับรถ
ทีนี้ลองมาดูตัวอย่างธุรกิจรถยนต์ EV ที่กองทุน B-SIP เข้าไปลงทุนกันบ้าง
XPeng อ่านว่า เสี่ยวเผิง เป็นบริษัทรถยนต์ EV เน้นตลาดระดับกลางเเละระดับสูงในจีน ที่เรียกได้ว่าท้าชนกับ Tesla ได้เลย เช่น รถยนต์ EV รุ่น XPeng P7 ที่มีราคาเปิดตัวล้านกว่าบาท ชาร์จหนึ่งครั้งจะวิ่งได้ 700 กิโลเมตร โครงสร้างต่าง ๆ มาจากการออกแบบของวิศวกรที่มาจาก Apple, Tesla
XPeng ยังใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ อย่าง 5G, AI ซึ่งตอนนี้ก็มีเทคโนโลยี Autonomous Driving เรียบร้อยแล้ว และยังใช้แบตเตอรี่ของ CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่จีนที่ใหญ่ที่สุด ที่เพียงใช้เวลา 30 นาที ก็สามารถชาร์จได้ 80% อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ กองทุน B-SIP จึงไม่พลาดที่จะเข้าไปลงทุน IPO ปีที่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจพลังงานสะอาดที่มี Green and Great Return เลยทีเดียว
8. นอกจาก พลังงานลม และรถยนต์ EV ยังมีธุรกิจไหนจะเป็นเทรนด์อนาคตได้อีกบ้าง ?
เริ่มต้นด้วยเรื่องใกล้ตัว อย่างอาหารที่เรียกว่า “Beyond Meat” ซึ่งเป็นธุรกิจผู้ผลิตอาหารคล้ายเนื้อที่ไม่ได้มาจากเนื้อจริง ๆ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมเรื่องปัญหาดิน ปัญหาน้ำ และปัญหามลพิษ
โดยในปี 2050 คาดว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก 2.8 พันล้านคน และจะตามมาด้วยปริมาณอาหารที่ต้องการเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
หากเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ จำเป็นต้องใช้พื้นที่เลี้ยงสัตว์และปัจจัยต่าง ๆ มากกว่าการปลูกพืชอย่างมาก เช่น การเลี้ยงวัว จะใช้ที่ดินมากกว่า 18 เท่า รวมทั้งใช้น้ำและพลังงานมากกว่า 10 เท่า และยังจะปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซมีเทน ออกมาจากร่างกายอีกด้วย
จึงไม่แปลกใจเลยว่า สัดส่วน 79% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการเกษตรมาจาก “การเลี้ยงสัตว์”
ปัจจุบัน Beyond Meat กำลังขยายฐานลูกค้าได้ดี สังเกตได้จากแบรนด์อาหารต่าง ๆ ที่หันมานำเสนอผลิตภัณฑ์จาก Beyond Meat มากขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา
เช่น แมคโดนัลด์, เอแอนด์ดับบลิว, Dunkin'
และยังกระจายไปตามร้านสะดวกซื้อ ที่เราสามารถซื้อกลับไปปรุงอาหารที่บ้านได้เองอีกด้วย
Beyond Meat กลายเป็นบริษัทที่น่าจับตามอง และเข้า IPO ในปี 2019 ที่มีมูลค่าบริษัท 3.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มาในปีนี้มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นมาเป็น 9.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นสองเท่ากว่า ๆ ภายในสองปี นอกจากนี้ยังมีรายได้ปี 2020 เติบโต 36% อีกด้วย
นอกจากธุรกิจอาหารแล้ว ก็ยังธุรกิจอื่น ๆ ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เช่น
- Schneider Electric เป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น ลิฟต์ ที่มีการคำนวณการใช้งานแบบประหยัดพลังงาน ซึ่งในอนาคตหากอาคารไหนเป็นอาคารประหยัดพลังงาน ก็จะสามารถเรียกค่าเช่าสูงขึ้นได้
- Equinix เป็นบริษัทโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของโลก เป็นศูนย์จัดเก็บข้อมูลที่ไม่สามารถหยุดทำงานได้ ต้องใช้ไฟตลอดทั้งวันทั้งคืน ปัจจุบันบริษัทสามารถใช้พลังงานหมุนเวียน 92% ของพลังงานทั้งหมด
- Ansys เป็นบริษัทจำลองผล จำลองสถานการณ์สำหรับรถยนต์, เครื่องบิน และอื่น ๆ เพื่อช่วยลดปริมาณการสูญเสียทรัพยากรในช่วงของการทดสอบ
เช่น Dyson แบรนด์เครื่องเป่าผมของผู้หญิง ทำให้แห้งเร็วขึ้นและดีขึ้น
Ansys เข้ามาช่วยคำนวณทิศทางลม, ลมแรง และค้นหาประสิทธิภาพที่ดีที่สุด โดยใช้ซอฟต์แวร์จำลองผลการทดสอบ ช่วยประหยัดทรัพยากร และประหยัดต้นทุนไปได้อย่างมาก
สรุปแล้ว แค่ Theme พลังงานสะอาดอย่างเดียว ก็ทำให้เราเห็นโอกาสของธุรกิจหลากหลายสาขา
ไม่ว่าจะเป็น การผลิตไฟฟ้าที่จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนด้วยพลังงานลม
หรือจะเป็นการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์ที่จะเปลี่ยนทั้ง EV Supply Chain
รวมทั้ง การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนด้วยอุตสาหกรรมอาหาร และการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือมากขึ้น นั่นเอง
9. แล้วเราจะเข้าถึงโอกาสการลงทุนในบริษัทเหล่านี้ได้อย่างไร ?
กองทุน B-SIP เป็นหนึ่งกองทุนเพื่อตอบโจทย์การลงทุนในพลังงานสะอาดโดยตรง และมีจุดเด่นด้วยสไตล์การลงทุนของกองทุนบัวหลวง ที่จะเฟ้นหาธุรกิจดีมีคุณภาพและเติบโต ซึ่งจะสร้างความแตกต่างจากกองทุนอื่นทั่วไป นั่นคือ
1. เน้นลงทุนธุรกิจรักษาสิ่งแวดล้อม ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในอนาคตที่เรียกว่า Green and Great Return นั่นเอง
2. มองว่าเทรนด์รักษาสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด จะเป็น Megatrends ของโลกที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น จึงเชื่อว่า Theme นี้มีความน่าสนใจและสามารถลงทุนระยะยาวได้
3. เปลี่ยนภาพจำว่า การลงทุนในพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อมไม่จำเป็นต้องเป็นหุ้นน่าเบื่อหรือหุ้นโครงสร้างพื้นฐานเสมอไป
เพราะการลงทุนของ B-SIP ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นเติบโต มีนวัตกรรม มีเทคโนโลยี และยังคำนึงถึงการประเมิน Valuation ด้วย
ถ้าฉายภาพใหญ่ ๆ ก็คือ กองทุน B-SIP จะลงทุนทั้งในฝั่ง Global Environmental Opportunities และ Clean Energy นั่นเอง
โดยฝั่ง Global Environment จะมีสัดส่วนธุรกิจเทคโนโลยี 40% นอกจากนั้นจะเป็นบริษัทอุตสาหกรรม, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มเคมีภัณฑ์
ซึ่งจะมีรูปแบบลงทุน Active Management เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างหุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่า
ส่วนในฝั่งของพลังงานสะอาด จะมีสัดส่วนธุรกิจเทคโนโลยี 48% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้เข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรม EV ทั้ง Supply Chain ราว 33% ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทฝั่งสหรัฐอเมริกา และยุโรป เพราะเป็นผู้นำเรื่องเทคโนโลยีพลังงานสะอาด
เช่น Orsted ธุรกิจพลังงานลมนอกชายฝั่งมากว่า 10 ปี มีเทคโนโลยีน่าสนใจ และยังมีโอกาสขยายตลาดได้อีกมาก
ทั้งหมดนี้ จึงสะท้อนได้ว่า กองทุน B-SIP เป็นอีกหนึ่งช่องทางลงทุนใน Theme พลังงานสะอาดที่จะสร้างการเติบโตในระยะยาวได้แบบ Green and Great Return นั่นเอง..
同時也有2部Youtube影片,追蹤數超過100萬的網紅LDA World,也在其Youtube影片中提到,ยุคเปลี่ยนผ่านของพลังงานกำลังเริ่มขึ้น เมื่อน้ำมันกำลังจะถูกแทนที่… . เมื่อประชากรโลกเพิ่มขึ้น หลายอย่างเติบโตขึ้น เป็นธรรมดาที่ความต้องการจะเพิ่มมากข...
「พลังงานสะอาด คือ」的推薦目錄:
- 關於พลังงานสะอาด คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於พลังงานสะอาด คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於พลังงานสะอาด คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於พลังงานสะอาด คือ 在 LDA World Youtube 的最佳貼文
- 關於พลังงานสะอาด คือ 在 คิดเรื่องอยู่ ThinkofLiving Youtube 的精選貼文
- 關於พลังงานสะอาด คือ 在 พลังงานสะอาด | By U2T RMUTT มหาวิทยาลัยสู่ตำบล - Facebook 的評價
- 關於พลังงานสะอาด คือ 在 [How To and Tips] What is Clean Energy? พลังงานสะอาดคืออะไร 的評價
- 關於พลังงานสะอาด คือ 在 GODJI : 'พลังงานสะอาด' ทางรอดสิ่งแวดล้อมโลกที่เป็นจริงแล้วในไทย 的評價
- 關於พลังงานสะอาด คือ 在 5 พลังงานทดแทนแห่งอนาคต - ThaiPost 的評價
พลังงานสะอาด คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
สรุปประเด็นจากกองทุนบัวหลวง “กางกลยุทธ์ พิชิตหุ้นสหรัฐฯ”
BBLAM x ลงทุนแมน
ช่วงเวลาที่ผ่านมา คงไม่มีตลาดหุ้นไหนสามารถทำผลงานได้โดดเด่น อย่างตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา
ที่ทำให้นักลงทุนสัมผัสได้ถึงความร้อนแรง จนเกิดคำถามว่า หลังจากนี้ โอกาสของหุ้นสหรัฐอเมริกาจะเป็นอย่างไร ?
เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา ลงทุนแมน ร่วมพูดคุยกับ 2 ผู้เชี่ยวชาญจากกองทุนบัวหลวง
คือ คุณพูนสิน เพ่งสมบูรณ์ AVP, Portfolio Solutions
และ คุณนวรัตน์ เจียมกิจรุ่ง SVP, Product Development
ถึงประเด็นสำคัญในการลงทุนหุ้นสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลานี้
เรื่องราวสำคัญที่นักลงทุนควรรู้ จะมีอะไรบ้างนั้น ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟังเป็นข้อ ๆ แบบเข้าใจง่าย
1. ภาพรวมของเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ?
ความร้อนแรงของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาในช่วงที่ผ่านมา เป็นผลมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ
- นโยบายการเงินการคลัง ที่สามารถส่งต่อไปยังภาคธุรกิจ และภาคการบริโภคได้จริง
- การกลับมาของภาคธุรกิจ ทั้งจากกลุ่มธุรกิจที่เติบโต และกลุ่มธุรกิจที่ฟื้นตัวจากปีก่อน
ประเด็นที่ต้องจับตาต่อจากนี้คือ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกากำลังเข้าสู่ช่วง Mid Cycle ซึ่งแปลว่า เราอาจจะไม่ได้เห็นการปรับตัวขึ้นแรง ๆ ของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาเหมือนในช่วงที่ผ่านมา
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนจากนี้ไป จึงต้องมีการคัดเลือกหุ้นรายตัว รายกลุ่มอุตสาหกรรมให้มากขึ้น
2. ความน่าสนใจของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา อยู่ที่ตรงไหน ?
ย้อนกลับไปช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาพบปัญหาระหว่างทางมาโดยตลอด
ไม่ว่าจะเป็น สงครามการค้ากับจีน หรือผลกระทบจากวิกฤติโควิด 19 ประกอบกับการเติบโตของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาที่เริ่มตั้งแต่ปี 2009 ก็ดูเหมือนจะจบรอบไปแล้วในปีที่ผ่านมา
ถ้าดูตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ปี 2020 ออกมา -30% แต่ที่น่าสนใจก็คือ สหรัฐอเมริกาฟื้นตัวกลับมาได้ค่อนข้างเร็ว โดยเห็นได้จาก GDP ไตรมาส 3 ปี 2020 ปรับตัวขึ้นกลายเป็น +33%
และถ้าหากสังเกตดัชนี S&P 500 ก็ยิ่งฟื้นตัวแรงไม่แพ้กัน
โดยใช้เวลาฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด 19 แค่ 1 เดือนเท่านั้น และก็ยังทำ New High ต่อเนื่อง อย่างในปี 2021 นี้ก็ +20% จากต้นปีอีกด้วย
ซึ่งต่างไปจากวิกฤติซับไพรม์ปี 2007 ที่ต้องใช้ระยะเวลาฟื้นตัวกว่า 18 เดือน แต่เมื่อฟื้นตัวกลับมาได้ ก็ไปต่อได้ดีเช่นกัน
ดังนั้น จุดที่น่าสนใจของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา เมื่อสังเกตจาก 2 วิกฤติที่ผ่านมาก็คือ เมื่อสหรัฐอเมริกาประสบภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจแล้ว มักจะกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว และก็ดีกว่าเดิมเสมอ
3. แล้วจุดขับเคลื่อนสำคัญ ที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาฟื้นตัวได้เร็ว คืออะไร ?
ปัจจัยที่ 1 คือ อำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ผ่าน 2 เครื่องมือสำคัญ นั่นคือ
- นโยบายทางการเงิน ที่จะช่วยให้ตลาดการเงินของสหรัฐอเมริกายังคงดำเนินต่อไปได้ โดยการซื้อสินทรัพย์ต่าง ๆ ในตลาด เพื่อพยุงราคาไม่ให้ถูกเทขาย
เช่น พันธบัตรรัฐบาล, Mortgage-Backed Securities (ตราสารทางการเงินที่มัดรวมสินเชื่อบ้านเข้าด้วยกัน โดยมีสถาบันการเงินเป็นคนกลางจับคู่ระหว่างผู้กู้ยืมและนักลงทุน), หุ้นกู้ในกลุ่ม Fallen Angels ที่ถูกปรับลดระดับเครดิตต่ำกว่า BBB (Non-Investment Grade)
- นโยบายการคลัง ที่จะช่วยเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา
เช่น การอัดฉีดเงินกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐไปให้ชาวอเมริกันที่ได้รับผลกระทบจากการว่างงาน
เนื่องจากโครงสร้าง GDP สหรัฐอเมริกามาจากภาคการบริโภค 70%
ดังนั้น หากชาวอเมริกันกลับมาบริโภคได้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจก็จะกลับคืนมาด้วย
แต่ก็ต้องยอมรับว่า ทั้ง 2 นโยบายที่ว่านี้ คงจะมีแต่สหรัฐอเมริกาเท่านั้น ที่สามารถทำได้
หากเป็นประเทศอื่น ๆ เราคงเห็นปัญหาตามมาอีกมากมาย เช่น ประเทศไทยที่มีสัดส่วนการบริโภคแค่ 1 ใน 4 ถ้าหากเราอัดฉีดเม็ดเงินเช่นนั้นก็จะเกิดปัญหาค่าเงินบาทอ่อนหรือปัญหาเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นแรง เป็นผลมาจากการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่มากเกินไป
โดยเหตุผลที่สหรัฐอเมริกาสามารถทำเช่นนี้ได้ เพราะความเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจโลกครองสัดส่วน 1 ใน 4 ของมูลค่า GDP โลก และเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ก็ยังเป็นเงินสกุลหลักของการค้าระหว่างประเทศ
ปัจจัยที่ 2 คือ โครงสร้างธุรกิจที่แข็งแกร่งและหลากหลาย ส่งผลให้ภาพรวมฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
หากสังเกตดัชนี S&P 500 จะพบว่า Market Cap. ของกลุ่มเทคโนโลยี 27% สูงเป็นอันดับที่ 1 ถัดมาจะเป็นกลุ่ม Health Care 13% และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย 12% ล้วนเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโต
ที่น่าสนใจคือ เทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเราขึ้นเรื่อย ๆ เสมือนเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิตคนเรา และหลากหลายกลุ่มเทคโนโลยีอนาคตอย่าง Innovation, FinTech, Digital Advertising ยังมีส่วนสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ การจ้างงาน และการแข่งขันในอนาคตอีกด้วย
นอกจากนี้ วิกฤติโควิด 19 ยังเป็นปัจจัยผลักดันการเติบโตของสินค้าเทคโนโลยี และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เช่น การช็อปปิงออนไลน์, การดูวิดีโอสตรีมมิงแทนการเข้าโรงภาพยนตร์
ขณะที่ภาคธุรกิจเอง ก็หันมาให้ความสนใจ Digital Advertising มากกว่าป้ายบิลบอร์ดเดิม ๆ ส่งผลให้ลดต้นทุน, ลดขั้นตอน Supply Chain ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งหมดนี้ จึงทำให้เชื่อว่า หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐอเมริกาจะยังเติบโตตามผลประกอบการต่อไปได้
4. หลังจากการฟื้นตัว ก้าวต่อไปคือการเข้าสู่ Mid Cycle ?
เมื่ออัตราการว่างงานลดลง ซึ่งคาดว่า 8-10 เดือนข้างหน้า ก็จะสามารถกลับเข้าสู่ระดับปกติก่อนเกิดวิกฤติโควิด 19 ได้ ขณะเดียวกัน Fed ก็เริ่มส่งสัญญาณถอนคันเร่งมาตรการกระตุ้น ด้านสวัสดิการว่างงานก็เริ่มลดลง สะท้อนได้ว่า สหรัฐอเมริกากำลังเข้าสู่ช่วง Mid Cycle
ดังนั้น เราน่าจะไม่ได้เห็นสภาพคล่องท่วมตลาดเหมือนอย่างเคยอีกต่อไป
กลยุทธ์การลงทุนในช่วง Mid Cycle จึงต้องเลือกลงทุนหุ้น Growth เช่น หุ้นเทคโนโลยี
หรือลงทุนหุ้นที่จะได้รับผลประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ ในโครงการที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน กำลังผลักดันอยู่ในขณะนี้ เช่น
- American Rescue Plan วงเงิน 1.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นสวัสดิการชดเชยการว่างงาน
- Infrastructure Bill วงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศ
- American Families Plan วงเงิน 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมนุษย์
- American Jobs Plan วงเงิน 2.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน, Health Care, อุตสาหกรรม EV, พลังงานสะอาด
- U.S. Innovation and Competition Act วงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อแข่งขันกับจีน
หากโครงการเหล่านี้ได้รับการอนุมัติทั้งหมด จะกลายเป็นเม็ดเงินพัฒนาเศรษฐกิจที่เยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา ที่จะช่วยพัฒนาประเทศระยะยาว 5-10 ปี เลยทีเดียว
5. ตอนนี้ Master Fund ระดับโลก มองการลงทุนหุ้นสหรัฐอเมริกาอย่างไร ?
หลังจากที่กองทุนบัวหลวงได้พูดคุยกับผู้จัดการกองทุน J.P. Morgan หนึ่งใน Master Fund ระดับโลก
พบว่า หากเป็นการลงทุนระยะกลาง J.P. Morgan กำลังพุ่งเป้าไปที่กลุ่มธุรกิจที่จะได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจหลังจากผ่านวิกฤติโควิด 19 เช่น
- กลุ่มธุรกิจ Reopening ที่เชื่อว่าจะกลับมาฟื้นตัว และได้รับประโยชน์จากความต้องการซื้อที่อัดอั้นมาจากวิกฤติโควิด 19 เช่น การจองโรงแรม, การเช่ารถ, ร้านอาหาร
- กลุ่ม Health Care ทั้งในแง่ของการรับมือกับโควิด 19, การพัฒนาวัคซีน, การวิจัยเชื้อกลายพันธุ์ และพฤติกรรมพร้อมจ่ายของคนเราเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง จึงมองว่ากลุ่มยา และกลุ่ม Biotech ยังเติบโตได้ดี
- กลุ่มพลังงานสะอาด จากการผลักดันนโยบาย EU Green Deal ขณะที่ต้นทุนของพลังงานลม และพลังงานโซลาร์เซลล์ ที่ถูกลงมากเมื่อเทียบกับพลังงานดั้งเดิม รวมทั้งกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์กักเก็บพลังงานก็น่าสนใจ
ขณะเดียวกัน หากเป็นการลงทุนระยะยาว J.P. Morgan กำลังจับตากลุ่มธุรกิจที่สอดรับกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า
ซึ่งนอกจาก 3 กลุ่มข้างต้นแล้ว ก็ยังมีกลุ่มเครื่องจักรอัตโนมัติ หรือกลุ่ม Smart ต่าง ๆ เช่น Smart Home, Smart TV ที่กำลังเติบโตตามโลกอนาคต อีกด้วย
6. กลยุทธ์การลงทุนหุ้น Growth ในช่วงเวลานี้ ?
กลยุทธ์การวิเคราะห์ลงทุนหุ้น Growth ของ J.P. Morgan จะออกเป็น 2 รูปแบบ นั่นคือ
- รูปแบบ Bottom Up คือการวิเคราะห์หุ้นรายตัวเป็นหลัก
- รูปแบบ Micro Focus คือการวิเคราะห์ลงรายละเอียดเล็ก ๆ เพราะเชื่อว่าจุดเล็ก ๆ จะนำไปสู่ความแตกต่างจากบริษัทอื่นอย่างมีนัยสำคัญได้ เช่น Facebook ที่กำลังได้รับประโยชน์จากโฆษณาออนไลน์อย่างต่อเนื่อง
เป้าหมายคือ การค้นหาหุ้นสหรัฐอเมริกาที่กำลังเติบโตมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ภายใต้ 3 ลักษณะสำคัญคือ
- ธุรกิจที่มีผลต่อการบริโภค หรือการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป
- ธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว มีกำไรที่แข็งแกร่ง
- ธุรกิจที่มีการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น (Momentum) ทิศทางเชิงบวก ดังนั้นต้องรู้จักทำใจให้นิ่งเพื่อรอจังหวะ Momentum ที่ดีได้
อีกหนึ่งกลยุทธ์การลงทุนที่สำคัญก็คือ การปรับพอร์ตลงทุนอยู่เสมอ โดยจะลดน้ำหนักหุ้นที่มีราคาปรับตัวขึ้นมานานหลายปี และตลาดรับรู้ข่าวทั้งหมดแล้ว
เช่น กลุ่มเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Microsoft, Apple ถูกลดสัดส่วนตั้งแต่ปีที่แล้ว เพื่อนำเงินไปลงทุนหุ้นที่จะเป็น “Big Winner” ตัวต่อไป แต่ก็ไม่ได้ขายหมดทั้งพอร์ต เพราะยังมองว่าเป็นธุรกิจที่ดีระยะยาว
นอกจากนี้ ด้วยความเป็นกองทุนแบบ Active ของ J.P. Morgan ยังมองเห็น 2 กลุ่มธุรกิจที่น่าสนใจคือ
- กลุ่มการเงิน โดยจะลงทุนทั้งสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น และกลุ่ม Online Payment
- กลุ่มเทคโนโลยี 5G และ EV โดยที่มองลงลึกไปถึง “ทองแดง” ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของกลุ่มเทคโนโลยี จึงเข้าไปลงทุนบริษัท Freeport-McMoRan หนึ่งในธุรกิจเหมืองแร่ทองแดงที่ใหญ่ที่สุดในโลก
7. ตัวอย่างธุรกิจที่เข้าข่ายหุ้น Growth ที่น่าสนใจ ?
ธุรกิจในกลุ่ม Digital Advertising เช่น Snap Inc. เจ้าของแอปพลิเคชัน Snapchat ที่มียอดผู้ใช้งานเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังมีการขยายฐานผู้ใช้งานไปยังประเทศอินเดีย ทำให้มีโอกาสเติบโตในเรื่องของเม็ดเงินโฆษณาได้อีกมาก ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมา รายได้ของ Snapchat ก็เติบโตเฉลี่ยปีละ 46%
ธุรกิจในกลุ่มต่อมาก็คือ Online Payment เช่น PayPal ที่ได้ประโยชน์จากการใช้ชีวิตในยุค New Normal และตอบโจทย์ในการชำระเงินยุคใหม่
ซึ่งจากผลการดำเนินงานในไตรมาสล่าสุด PayPal มีจำนวนบัญชี Active User เติบโต 16% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ในขณะที่จำนวนธุรกรรมเติบโต 40% จากปีก่อนหน้า
ธุรกิจในกลุ่มสุดท้ายก็คือ ธุรกิจนอกกลุ่มเทคโนโลยี เช่น John Deere ผู้ผลิตและจำหน่ายรถแทรกเตอร์ อุปกรณ์การเกษตรที่นำเทคโนโลยีมาใช้กับการเกษตร ตอบโจทย์การเกษตรสมัยใหม่และเทรนด์ความยั่งยืน
หากสหรัฐอเมริกามีการเก็บภาษีจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ก็จะเป็นประโยชน์โดยตรงกับ John Deere
ซึ่งหุ้น 3 ตัวนี้ ก็เป็นหุ้นที่ J.P. Morgan ลงทุนเป็น Top Holding อีกด้วย
8. ตอนนี้หุ้น Growth แพงไปหรือยัง ?
ในมุมมองของกองทุนบัวหลวง คิดว่าหุ้น Growth ยังไม่แพงเกินไป ถึงแม้ว่าจะผ่านช่วงสูงสุดไปแล้ว แต่ก็ยังมีโอกาสเติบโตได้อยู่
โดยหากมาดูในส่วนของค่ากลางของ P/E Ratio S&P 500 พบว่า อยู่ที่ 20 เท่า สะท้อนให้เห็นว่า ยังมีโอกาสที่เรายังสามารถหาหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตในราคาที่สมเหตุสมผลได้อยู่
และที่ผ่านมาดัชนี S&P 500 ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ P/E ทยอยปรับลดลง ซึ่งมีสาเหตุมาจากกำไรของบริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว
โดยในปี 2021 มีการคาดการณ์ว่ากำไรของบริษัทใน S&P 500 จะโต 60% ในขณะที่ในปี 2022 S&P มีการคาดการณ์ว่ากำไรจะโตต่ออีก 15% จากปี 2021
จากตรงนี้ก็จะเห็นได้ว่า ยังมีอีกหลายธุรกิจที่ผลการดำเนินงานยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อยู่
9. ผลตอบแทนการลงทุน ด้วยกลยุทธ์แบบ J.P. Morgan เป็นอย่างไร ?
จากกลยุทธ์ Active Management ที่เน้น Micro Focus ทำให้กองทุน JPM US Growth ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นสหรัฐอเมริกา มีผลการดำเนินงานที่ค่อนข้างดีมาอย่างต่อเนื่อง
หากเรามาดูผลการดำเนินงานของกองทุน JPM US Growth จะพบว่า ถ้าดูย้อนหลังไป 3 ปี เฉลี่ยต่อปีแล้ว ผลตอบแทนจะเท่ากับ 27% สูงกว่าเมื่อเทียบกับ Benchmark ที่เป็น Russell 1000 ที่เน้นเฉพาะหุ้นเติบโต ซึ่งถ้าย้อนหลัง 5 ปี ผลการดำเนินงานก็ดีกว่าเช่นกัน
เมื่อมาดูการจัดอันดับของ Morningstar พบว่ากองทุน JPM US Growth อยู่ใน First Quartile คือเป็นหนึ่งในกองทุนที่ทำผลการดำเนินงานได้ดีอยู่ในเกณฑ์ดีที่สุดในกลุ่มอีกด้วย
หากมาดูด้าน Valuation ของกองทุน JPM US Growth จะเห็นว่า กองทุนนี้มี P/E Ratio ที่ต่ำกว่า Benchmark แต่มีอัตราการเติบโตของกำไร (%EPS Growth) สูงกว่า Benchmark และ S&P 500
10. เราจะลงทุนหุ้นสหรัฐอเมริกาในรูปแบบกองทุน ได้อย่างไร ?
กองทุน B-USALPHA เป็นกองทุน Feeder Fund ที่ลงทุนในกองทุนหลัก คือ JP Morgan US Growth Fund ไม่ต่ำกว่า 80%
ซึ่ง JP Morgan US Growth Fund เป็นกองทุนแนว Active Management เน้นลงทุนในหุ้นที่เติบโตสูงกว่าที่ตลาดมองไว้
และในส่วนที่เหลือผู้จัดการกองทุนของบัวหลวง ก็อาจลงทุนในหุ้นสหรัฐอเมริกาที่น่าสนใจเป็นรายตัว
ซึ่งน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีระยะยาวได้ เหมือนที่ทำกับ B-FUTURE และ B-CHINE-EQ
กองทุนนี้ ยังมีนโยบายการจ่ายเงินปันผล เพราะปัจจุบันอยู่ในภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ
ผู้ลงทุนส่วนใหญ่จึงหันมาหาสินทรัพย์เสี่ยง หรือหุ้น กันมากขึ้น การจ่ายเงินปันผลจะช่วยให้ผู้ลงทุนมีเงินระหว่างทาง ไม่ต้องคอยดูจังหวะการขายทำกำไร และสามารถลงทุนได้นานขึ้น
11. สุดท้ายแล้ว แนวทางของกองทุน B-USALPHA จะช่วยบริหารพอร์ตการลงทุนภาพรวมของคุณได้อย่างไร ?
ในมุมมองการจัดพอร์ตลงทุน การกระจายสินทรัพย์เสี่ยงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
ในมุมมองของกองทุนบัวหลวงคือ การจัดพอร์ตให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง ทั้งในส่วนสินทรัพย์เสี่ยงต่ำและเสี่ยงสูง
ในส่วนสินทรัพย์เสี่ยงสูงที่เป็นหุ้นทั่วโลก ส่วนใหญ่จะแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ การเอามาเป็นแกนหลักของพอร์ต (Core Port) กับเอาเป็นตัวเร่งในแต่ละธีม (Thematic) โดยส่วนที่เป็นแกนหลัก ควรที่จะให้มีการกระจายหลายประเทศ และหลายกลุ่มอุตสาหกรรม
แล้วควรลงทุนในหุ้นสหรัฐอเมริกาเท่าไร ? หากอ้างอิงจาก MSCI Index มีสัดส่วนบริษัทในสหรัฐอเมริกา กว่า 58% อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับความชอบ ความเสี่ยงที่รับได้ และความเข้าใจของแต่ละคนด้วย
เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดใหญ่ที่พัฒนาแล้ว มีผลการดำเนินงานดีที่สุดใน 10 ปีที่ผ่านมา คือปีละ 14% และมีความผันผวนต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ
สรุปได้ว่า การลงทุนหุ้นสหรัฐอเมริกา ถือว่าเป็นของต้องมีในพอร์ต และกลยุทธ์การลงทุนแบบ Active ในหุ้นเติบโต ย่อมมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ดีด้วย นั่นเอง..
พลังงานสะอาด คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
รัสเซีย กำลังกลับมาทวงบัลลังก์ โลกเทคโนโลยี /โดย ลงทุนแมน
วัคซีนสปุตนิก วี (Sputnik V) เป็นวัคซีนป้องกันโควิด 19 ที่พัฒนาขึ้นโดยสถาบัน Gamaleya
ในกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย และผลิตโดยใช้เทคโนโลยีเวกเตอร์ไวรัส (Viral Vector) เป็นตัวนำสารพันธุกรรมเข้าสู่เซลล์มนุษย์
โดยตัว V ในชื่อ มีที่มาจากคำว่า Vaccine
ไม่ใช่สัญลักษณ์ของเลข 5 ในแบบโรมัน อย่างที่หลายคนเข้าใจผิดในช่วงแรก
แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ชื่อ “สปุตนิก” ของวัคซีนตัวนี้
เป็นชื่อเดียวกันกับดาวเทียมดวงแรกของโลก ที่ถูกส่งไปโคจรในอวกาศ เมื่อปี 1957
และทำให้ชาวโลกได้ประจักษ์ถึงศักยภาพทางเทคโนโลยีของสหภาพโซเวียต
สปุตนิก มาจากคำว่า Спутник ในภาษารัสเซีย ซึ่งมีหลายความหมาย
หนึ่งในนั้นคือ “ดาวเทียม”
การตั้งชื่อวัคซีนว่า “ดาวเทียม” ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งความสำเร็จอย่างงดงามเมื่อ 60 ปีที่แล้ว
อาจเป็นสัญญาณบางอย่างที่บอกว่า นับตั้งแต่สหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 1991
รัสเซียกำลังกลับมาทวงบัลลังก์โลกแห่งเทคโนโลยีอีกครั้ง..
เรื่องราวนี้ เป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ย้อนกลับไปช่วงทศวรรษ 1950s-1990s
สหภาพโซเวียต ถือได้ว่าเป็นประเทศอภิมหาอำนาจ หรือ Superpower เคียงคู่กับสหรัฐอเมริกา
ทั้ง 2 ประเทศ แข่งขันขับเคี่ยวกันในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง การทหาร เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และอวกาศ เป็นที่มาของสิ่งที่ชาวโลกรู้จักกันในชื่อ “สงครามเย็น”
ผลงานด้านเทคโนโลยีอวกาศของสหภาพโซเวียตที่ทำให้ชาวโลกต้องตะลึง
ทั้งดาวเทียมดวงแรกของโลก “สปุตนิก 1” และการส่ง “ยูรี กาการิน” มนุษย์คนแรกออกไปโคจรรอบโลกได้เป็นผลสำเร็จ ในปี 1961
ความก้าวหน้าเหล่านี้ มีเบื้องหลังสำคัญมาจากงบประมาณด้านวิจัยและพัฒนาของสหภาพโซเวียต ที่เคยมีสัดส่วนสูงถึงเกือบ 2% ของ GDP
แต่เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายและแตกออกเป็นประเทศน้อยใหญ่ถึง 15 ประเทศ
รัสเซียซึ่งเป็นประเทศใหญ่ที่สุด และรับมรดกของสหภาพโซเวียตมามากที่สุด
กลับต้องเผชิญปัญหาเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ทั้งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การว่างงาน และการปรับตัวเข้าสู่โลกทุนนิยม ทำให้ต้องตัดทอนงบประมาณวิจัยและพัฒนาลงมาเรื่อย ๆ เพื่อมาพยุงเศรษฐกิจในภาพรวม
ในปี 2018 ถึงแม้รัสเซียจะติด 1 ใน 10
ประเทศที่ใช้งบประมาณด้านวิจัยและพัฒนาสูงที่สุดในโลก
แต่เมื่อเทียบสัดส่วนต่อ GDP แล้ว
พบว่ารัสเซียใช้งบประมาณด้านวิจัยและพัฒนาเพียง 1% ของ GDP
เป็นสัดส่วนที่น้อยกว่าของประเทศจีน 2 เท่า น้อยกว่าสหรัฐอเมริกา 3 เท่า
และน้อยกว่าเกาหลีใต้เกือบ 5 เท่า
การขาดแคลนงบประมาณ ทำให้งานวิจัยที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาเป็นสินค้าเทคโนโลยีมีไม่มาก
รัสเซียจึงต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติเป็นหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
สินค้าส่งออกหลัก 3 อันดับแรกของรัสเซีย ล้วนเป็นสินค้าโภคภัณฑ์
ซึ่งราคามักจะผันผวนไปตามความต้องการของตลาดโลก
อันดับ 1 คือ น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ คิดเป็นสัดส่วน 42%
อันดับ 2 คือ แร่โลหะมีค่า เช่น ทองคำ แพลทินัม คิดเป็นสัดส่วน 9%
อันดับ 3 คือ แร่เหล็กและเหล็กกล้า คิดเป็นสัดส่วน 5%
ถึงแม้จะสร้างรายได้มหาศาล แต่สินค้าเหล่านี้ก็เจอกับความผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจ
ปีไหนน้ำมันราคาสูง GDP ของรัสเซียก็เพิ่มสูง เช่น ช่วงปี 2012-2013
ปีไหนน้ำมันราคาตกต่ำ GDP ของรัสเซียก็ลดลง เช่น ช่วงปี 2014-2016
เมื่อรวมกับการที่ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจดำเนินมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียหลังจากที่รัสเซียรุกรานดินแดนยูเครน ทำให้รัสเซียต้องประสบวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2014
ปัญหาทั้งหมดทำให้รัฐบาลรัสเซียต้องกำหนดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจใหม่
โดยในปี 2018 ประธานาธิบดี วลาดีมีร์ ปูติน ได้อนุมัติแผนวิจัยแห่งชาติที่ยาวไปจนถึงปี 2024
ซึ่งยุทธศาสตร์ที่จะทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียอยู่รอด และโดดเด่นบนเวทีโลกในระยะยาว
ก็คือ “การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”
ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ยุคจักรวรรดิรัสเซีย
รัสเซียคือดินแดนหนึ่งที่ผลิตผลงานวิทยาศาสตร์มากมายมาประดับวงการวิชาการของโลก
ทั้งรถรางไฟฟ้าและตารางธาตุ
พอมาถึงยุคสหภาพโซเวียต ก็มีเหล่านักวิทยาศาสตร์มากมายที่พัฒนาทั้งเทคโนโลยีนิวเคลียร์ อาวุธ การแพทย์ และเทคโนโลยีอวกาศ
รัสเซียมีนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลถึง 17 คน (รวมสมัยสหภาพโซเวียต)
ประกอบไปด้วยสาขาฟิสิกส์ 12 คน สาขาการแพทย์ 3 คน และสาขาเคมี 2 คน
แต่เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย วิกฤติเศรษฐกิจทำให้นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากต้องตกงาน
นับหมื่นคน และต้องอพยพออกไปทำงานยังต่างประเทศ ทั้งในสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป
ส่วนที่ยังอยู่ก็ต้องเปลี่ยนอาชีพไปทำมาหากินอย่างอื่น
ตั้งแต่ปี 2008 รัฐบาลรัสเซีย สมัยประธานาธิบดี ดมีตรี เมดเวเดฟ
จึงเริ่มวางแผนเพื่อผลักดันนโยบายเศรษฐกิจ บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เริ่มแรกคือการจัดสร้างเมืองแห่งนวัตกรรม Skolkovo ที่ชานกรุงมอสโก
ให้เป็นศูนย์รวมของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แขนงต่าง ๆ
จัดตั้ง Skolkovo Institute of Science and Technology ในปี 2011
ให้เป็นศูนย์วิจัยชั้นนำด้านวิศวกรรม ปัญญาประดิษฐ์ เทคโนโลยีการแพทย์ พลังงานสะอาด และเทคโนโลยีควอนตัม
มีการจัดตั้ง The Russian Quantum Center ภายในเมือง Skolkovo และทุ่มงบประมาณกว่า 25,000 ล้านบาท เพื่อวิจัยด้านนี้โดยเฉพาะ
รวมถึงเพิ่มงบประมาณในการปรับปรุงห้องทดลองในสถาบันต่าง ๆ ให้เตรียมพร้อม
ทั้งสถานที่ อุปกรณ์ทำการวิจัย และบุคลากร ดึงนักวิทยาศาสตร์เก่ง ๆ กลับมาสู่รัสเซีย
ด้วยการเพิ่มทุนวิจัย เงินเดือน และสวัสดิการที่ดี
ลำดับต่อมา คือการเพิ่มงบสนับสนุนการทำวิจัย
มีการจัดตั้ง Russian Science Foundation (RSF) ในปี 2014
เพื่อให้เงินสนับสนุนงานวิจัยหลากหลายแขนง
ตัวอย่างเช่น ในด้านอวกาศ RSF ได้มอบทุนสนับสนุนงานวิจัยองค์ประกอบของชั้นบรรยากาศบนดาวอังคาร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรม ExoMars ที่รัสเซียร่วมกับสหภาพยุโรป ในการวางแผนจะส่งยานอวกาศไปดาวอังคารภายในปี 2022
รวมถึงการดึงงบประมาณบางส่วนจาก Russian National Wealth Fund หรือกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ มาสนับสนุนงานวิจัยที่เร่งด่วน เช่น การพัฒนาวัคซีนโควิด 19 โดยสถาบัน Gamaleya
แต่อุปสรรคของการพัฒนาเทคโนโลยีในรัสเซียก็ยังมีอยู่ไม่น้อย..
ประการแรก คือ ปัญหาคอร์รัปชันในแวดวงข้าราชการ
รัสเซียเป็นประเทศที่มีปัญหาการคอร์รัปชันค่อนข้างสูง
จากดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน รัสเซียถูกจัดให้อยู่ที่อันดับ 129 ของโลก จาก 179 ประเทศ
ซึ่งเป็นอันดับที่แย่กว่าประเทศไทย และเป็นอันดับท้าย ๆ ของทวีปยุโรป
และจากการสำรวจของ PwC พบว่า กว่า 71% ของเงินอุดหนุนและอภิสิทธิ์พิเศษต่าง ๆ
ที่รัฐบาลรัสเซียจัดให้แก่โครงการด้านวิทยาศาสตร์และธุรกิจในปี 2009
จะถูกเบียดบังไปโดยข้าราชการและตำรวจรัสเซียที่ทำการคอร์รัปชัน
รวมไปถึงผลการทดลองหรือผลของงานวิจัย ที่หลายครั้งถูกควบคุมจากฝ่ายรัฐบาลอย่างเด็ดขาด ทำให้ข้อมูลที่ได้ขาดความโปร่งใส และไม่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ประการที่ 2 คือ ปัญหาความร่วมมือกับประเทศตะวันตก
เนื่องจากรัสเซียโดนคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งล้วนแต่เป็นประเทศที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้า
การนำเข้าสารเคมีต่าง ๆ ที่ใช้ในกระบวนการทดลอง
รวมไปถึงอุปกรณ์วิเคราะห์จากประเทศเหล่านี้จึงใช้ระยะเวลานานมาก
ด้วยข้อจำกัดทางการค้าและการทูต จากระยะเวลาไม่กี่วันอาจยาวนานเกือบ 3 เดือน
เช่นเดียวกับหลายโครงการที่ร่วมมือกันระหว่างรัสเซียกับสหภาพยุโรป ที่ไม่ได้รับการอนุมัติ
หรือดำเนินไปอย่างล่าช้า เนื่องด้วยข้อจำกัดในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของรัสเซียที่จะพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็ยังคงดำเนินต่อไป
รัฐบาลรัสเซียตั้งเป้าไว้ว่า งบประมาณด้านวิจัยและพัฒนาของรัสเซียจะต้องเพิ่มขึ้นเป็น 1.2%
ของ GDP ให้ได้ ภายในปี 2024..
ก็เป็นที่น่าติดตามต่อไป ว่ารัสเซียจะกลับมาทวงบัลลังก์แห่งโลกเทคโนโลยีได้หรือไม่ ?
แต่รัสเซียก็แสดงให้เห็นว่าเป็นเพียงไม่กี่ประเทศที่สามารถวิจัยและพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ของตัวเอง
ซึ่งนับเป็นการประกาศให้โลกรับรู้ถึงศักยภาพด้านเทคโนโลยีทางการแพทย์ของรัสเซีย
ที่ไม่น้อยหน้าใคร และสิ่งเหล่านี้อาจถูกต่อยอดจนกลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของรัสเซียในอนาคต
ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษย์ มีบทพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า
ประเทศใดที่เป็นผู้ครองเทคโนโลยี ประเทศนั้นก็มีศักยภาพพอที่จะเป็นผู้ครองโลก
เวลานี้สงครามเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน
ก็เป็นที่จับตามองของคนทั้งโลกอยู่แล้ว
และหากว่าจะมีรัสเซียเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งประเทศในสงครามนี้
โลกในศตวรรษที่ 21 ก็คงจะน่าตื่นเต้นขึ้นกว่าเดิม ไม่น้อยเลยทีเดียว..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.nature.com/articles/d41586-020-00753-7
-https://data.worldbank.org/indicator/GB.XPD.RSDV.GD.ZS?locations=RU-TH-CN-KR
-https://tass.com/society/968471
-https://www.worldstopexports.com/russias-top-10-exports/
-https://www.kaspersky.com/blog/secure-futures-magazine/russian-technology-inventions/28073/
พลังงานสะอาด คือ 在 LDA World Youtube 的最佳貼文
ยุคเปลี่ยนผ่านของพลังงานกำลังเริ่มขึ้น
เมื่อน้ำมันกำลังจะถูกแทนที่…
.
เมื่อประชากรโลกเพิ่มขึ้น หลายอย่างเติบโตขึ้น
เป็นธรรมดาที่ความต้องการจะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
.
พลังงานเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ของโลก
แต่ปัจจุบันกำลังมีปริมาณที่น้อยลง
.
พลังงานที่ถูกใช้เยอะมากคือ พลังงานไฟฟ้า
สิ่งที่ช่วยทำให้เกิดไฟฟ้า คือ น้ำมันและถ่านหิน
แต่มันกำลังสร้างผลเสียต่อโลกแบบมหาศาล
ทั้งยังเป็นสิ่งที่ใช้แล้วอาจหมดไป
.
ถ้าเกิดวันนึงสิ่งเหล่านี้เกิดมีไม่เพียงพอแล้ว
เราจะทำอย่างไรต่อไป...จะมีอะไรมาทดแทนได้บ้าง
มานั่งคุยใน #FasterFuture กันค่ะ
#พลังงานทดแทน #พลังงานไฟฟ้า #น้ำมันกำลังจะหมด
#RenewableEnergy #FasterFuture #FutureIsFun
-------------------------------------------------------------
ABOUT US
Instagram: http://www.instagram.com/ldaworld
Facebook: http://www.facebook.com/LDAworld
Twitter: http://twitter.com/ldaworlds
Blog: http://www.ldaworld.com
PODCAST
Spotify : https://spoti.fi/2v8nNY9
Apple Podcast : https://apple.co/35NteJc
Podbean : https://ldapodcast.podbean.com
ติดต่องาน/ลงโฆษณา : contact@flourish.co.th
โทร : 086-363-6683
พลังงานสะอาด คือ 在 คิดเรื่องอยู่ ThinkofLiving Youtube 的精選貼文
โซล่าเซลล์ เป็นอะไรที่เราได้ยินมานานมาก เริ่มแรกเลยจะนิยมในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้ไฟเยอะ ซึ่งโซล่าเซลล์ที่ยุคแรกๆราคาค่อนข้างแพง เพราะยังไม่ได้มีการผลิตที่แพร่หลาย
แต่ปัจจุบันนี้เริ่มเห็นว่ามีการเอามาใช้ในบ้านพักอาศัยเยอะขึ้น เพราะส่วนหนึ่งคือราคาถูกลงมีช่างที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้มากขึ้น และเป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าบ้านเรามีแสงแดดที่ค่อนข้างจัดเกือบตลอดทั้งปี ก็ทำให้หลายๆคนหันมาลงทุน เลือกใช้พลังงานสะอาดกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น
Living Idea วันนี้เราเลยจะพามาทำความรู้จักกันกับหลังคาโซล่าเซลล์กันค่ะ
ระบบของโซล่าเซลล์จะมีอยู่ 3 ระบบ
- on grid : เป็นระบบที่นิยมใช้มากที่สุด เพราะราคาถูกสุด คืนทุนเร็วที่สุด ที่ราคาถูกเพราะว่าเป็นระบบที่ไม่มีการกักเก็บไฟ ไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ซึ่งปัจจุบันราคายังสูงอยู่ ดังนั้นจึงสามารถใช้ได้เฉพาะกลางวันที่มีแสงแดดเท่านั้น
- off grid : เหมือนเป็นระบบ stand alone ที่แยกออกไปโดดๆเลย คือ จะมีแบตเตอรี่เก็บไฟเป็นของตัวเอง แต่ไม่มีการเชื่อมต่อกับไฟของการไฟฟ้า เหมาะกับบ้านหรือสถานที่ที่ยังไม่มีไฟฟ้าเข้าถึง
- hybrid : เป็นระบบที่ผสมกันระหว่าง on grid กับ off grid คือมีการสลับไฟไปใช้ไฟของการไฟฟ้าได้ และ ก็มีแบตเตอรี่ของตัวเอง ในการกักเก็บไฟไว้ใช้ในตอนกลางคืนหรือตอนไม่มีแดดได้ด้วย ซึ่งระบบนี้จะตอบโจทย์ที่สุด แต่ที่ยังไม่ค่อยแพร่หลายเพราะปัจจุบันแบตเตอรี่ยังราคาสูงอยู่ ทำให้กว่าจะคืนทุนต้องใช้เวลานาน
ส่วนระยะเวลาการติดตั้งโซลาเซลล์นั้น ในวันที่ทำการติดใช้เวลาประมาณ 2-5 วัน แต่เนื่องจากต้องทำเรื่องขออนุญาตจากหน่วยราชการก่อนการติดตั้ง ทำให้มีระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือน ดังนั้นเราจึงต้องวางแผนล่วงหน้าก่อนติดตั้งด้วยนะคะ
#หลังคาบ้านโซล่าเซลล์ #พลังงานสะอาด #SolarRoof
..............................................................................................................................
- สนใจติด SCG Solar Roof Solutions คลิก ? ? https://bit.ly/3beFLdT
- ดูรายละเอียดราคาแต่ละ Package เพิ่มเติมได้ ที่นี่ https://bit.ly/3sI8mxS
? หน้าร้าน : SCG Home , SCG Experience, SCG Home Solution , SCG Roofing Center
? SCG HOME Contact Center : โทร 02-5862222 หรือ Line https://line.me/R/ti/p/@scghome
? ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม คลิก ? ? https://bit.ly/3c3N1Iu
..............................................................................................................................
ติดตามพวกเราเพิ่มเติมได้ที่
Website : www.thinkofliving.com
Twitter : www.twitter.com/thinkofliving
YouTube : www.youtube.com/ThinkofLiving
Instagram : www.instagram.com/thinkofliving
Facebook : ThinkofLiving
พลังงานสะอาด คือ 在 [How To and Tips] What is Clean Energy? พลังงานสะอาดคืออะไร 的推薦與評價
พลังงานสะอาดคือ อะไร | คนบันดาลไฟ ปี2. 2.1K views · 2 years ago ...more ... ... <看更多>
พลังงานสะอาด คือ 在 GODJI : 'พลังงานสะอาด' ทางรอดสิ่งแวดล้อมโลกที่เป็นจริงแล้วในไทย 的推薦與評價
ก๊อดจิอยากชวนเพื่อน ๆ ทุกคนมาทำความรู้จักกับ 'พลังงานสะอาด' หรือ Green Energy ที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงโลกของเราให้น่าอยู่ขึ้นได้ ... ... <看更多>
พลังงานสะอาด คือ 在 พลังงานสะอาด | By U2T RMUTT มหาวิทยาลัยสู่ตำบล - Facebook 的推薦與評價
พลังงานสะอาด เชื้อเพลิงจากธรรมชาติ พลังงานสะอาด (Green Energy) 1. ได้จากธรรมชาติ 2. เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 3. ... <看更多>