รู้จัก ฝรั่งเศส ผ่าน 10 บริษัท ที่ใหญ่สุดในประเทศ /โดย ลงทุนแมน
เมื่อเอ่ยถึง ฝรั่งเศส สิ่งแรกที่คนทั่วโลกจะนึกถึงก็คือ “ความหรูหรา”
วงการศิลปะแทบทุกแขนงของยุโรปล้วนมุ่งหน้าสู่ฝรั่งเศส
และผู้คนที่นี่ก็คลั่งไคล้ศิลปะมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม วรรณกรรม เครื่องแต่งกาย หรือแม้แต่อาหารการกิน
ในยุคก่อนที่วัฒนธรรมอเมริกันจะครองโลก ฝรั่งเศสคือผู้ส่งออกวัฒนธรรมที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด
และแน่นอนว่าวัฒนธรรม ก็ยังคงสร้างมูลค่าให้ฝรั่งเศสอย่างมหาศาลในปัจจุบัน..
10 บริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดของประเทศฝรั่งเศส เป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์หรูถึง 6 บริษัท
ทั้งเครื่องแต่งกาย เครื่องดื่ม เครื่องประดับ และเครื่องสำอาง
แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ นอกจากบริษัทแบรนด์หรูทั้งหลายแล้ว
ก็ยังมีบริษัทยา และบริษัทเทคโนโลยีอยู่ใน Top 10 ด้วย
เรื่องราว 10 บริษัท ที่ใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส เป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ราชสำนักฝรั่งเศสคือจุดเริ่มต้นของความหรูหรา
ศตวรรษที่ 15 พระนางแคทเธอรีน เดอ เมดิชี เป็นผู้ริเริ่มอุตสาหกรรมน้ำหอมในฝรั่งเศส
ศตวรรษที่ 16 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ผู้ริเริ่มนำวิกมาสวมศีรษะ และใส่รองเท้าส้นสูง
และศตวรรษที่ 19 จักรพรรดินีเออเฌนี เป็นผู้ผลักดันให้เกิดโรงเรียนสอนการออกแบบ และผลักดันให้เกิดแบรนด์แฟชั่นชั้นนำมากมาย
ถึงแม้ราชสำนักฝรั่งเศสจะต้องประสบกับการปฏิวัติหลายต่อหลายครั้ง แต่ความหรูหราที่ได้ทิ้งไว้ก็ยังถูกนำมาสานต่อ และผ่านการพัฒนาอย่างเป็นระบบ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครื่องแต่งกาย ที่มีการจัดตั้งสถาบันสอนออกแบบ ให้กำเนิดการเดินแฟชั่นโชว์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19
ดึงดูดนักออกแบบเสื้อผ้าจากทั่วฝรั่งเศสและทั่วโลกให้เข้ามาแสดงฝีไม้ลายมือ จนทำให้กรุงปารีสกลายเป็นเมืองศูนย์กลางแฟชั่นระดับโลก
การวางแผนอย่างเป็นระบบระเบียบนี้เอง ส่งผลให้วิถีชีวิตแบบฝรั่งเศสกลายเป็น Story และนำมาสู่การสร้างแบรนด์ที่เป็นตำนานระดับโลก
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หาก 10 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส จะเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์หรูถึง 6 บริษัท
ซึ่งหลายบริษัทเกิดจากการควบรวมหลายแบรนด์เข้าไว้ด้วยกัน
หากเรียงตามลำดับอายุที่ก่อตั้ง จะได้เป็น..
- LVMH
ถึงแม้บริษัทนี้จะเกิดจากการควบรวมบริษัทในปี 1987 แต่ประวัติของแต่ละบริษัทที่อยู่ในเครือถูกย้อนไปไกลกว่านั้น
Moët & Chandon เป็นผู้ผลิตแชมเปญ ก่อตั้งในปี 1743
Hennessy ผู้ผลิตบรั่นดีคอนญัก ก่อตั้งในปี 1765
และ Louis Vuitton ผู้ผลิตกระเป๋าเดินทางแบบทรงเหลี่ยม ในปี 1854 เพื่อให้ชนชั้นสูงวางบนรถม้าได้อย่างสะดวกสบาย ก่อนจะกลายเป็นตำนานของกระเป๋าในเวลาต่อมา
ทั้ง 3 บริษัทได้ควบรวมกันในปี 1987 แต่หลังจากนั้น 2 ปีก็เกิดสงครามแย่งกิจการ จนท้ายที่สุดก็ได้ Bernard Arnault บุคคลภายนอก เข้ามามีอำนาจในการบริหาร LVMH นับตั้งแต่นั้นมา
Arnault ได้ขยายอาณาจักร LVMH ด้วยการเข้าครอบครองกิจการแบรนด์หรูชื่อดังอย่างต่อเนื่อง
ทั้งเครื่องแต่งกาย ไวน์ นาฬิกา จน LVMH ครอบครองแบรนด์หรู กว่า 75 แบรนด์
ปัจจุบัน LVMH กลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจแบรนด์หรูที่ใหญ่สุดในโลก และถือเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในฝรั่งเศสและยุโรป ด้วยมูลค่า 13.5 ล้านล้านบาท
- Hermès
กิจการนี้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1837 โดย Thierry Hermès
แรกเริ่มบริษัททำธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตอานม้าสำหรับชนชั้นสูง ต่อมาลูกชายก็ได้ขยายธุรกิจ และให้กำเนิดกระเป๋าเพื่อแบกสัมภาระไปกับการเดินทางบนหลังม้า จนกลายเป็นกระเป๋าที่มีรูปแบบเอกลักษณ์ และขยายไปสู่เครื่องแต่งกายต่าง ๆ
ปัจจุบัน Hermès เป็นแบรนด์หรูที่ไม่ได้ควบรวมกับแบรนด์อื่น ๆ
ซึ่งถึงแม้จะเป็นแบรนด์เดี่ยว แต่มูลค่าของ Hermès ก็สูงถึง 5.3 ล้านล้านบาท
- EssilorLuxottica
สมาคมช่างทำแว่นตาแห่งปารีส หรือ Société des Lunetiers (SL) หรือ Essel ได้ถูกจัดตั้งขึ้นในปี 1849 ให้เป็นศูนย์รวมของช่างฝีมือ เพื่อพัฒนากระบวนการทำแว่นตา ทั้งกรอบแว่นและเลนส์แว่นตา
ต่อมา Essel ได้ควบรวมกับบริษัททำเลนส์ Silor กลายเป็น Essilor
และก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายเลนส์สายตา โดยเฉพาะกลุ่มเลนส์ตระกูล Varilux และล่าสุดได้ควบรวมกับบริษัท Luxottica บริษัทผลิตกรอบแว่นตาที่ใหญ่สุดในโลกของอิตาลี
ทำให้บริษัทนี้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำเรื่องแว่นตาของโลก ที่ครอบคลุมตั้งแต่เลนส์ ไปจนถึงแว่นตา
และมีมูลค่าตลาด 2.6 ล้านล้านบาท
- Kering
เช่นเดียวกับ LVMH ถึงแม้ Kering จะก่อตั้งในปี 1963 แต่ประวัติของแต่ละบริษัทที่อยู่ในเครือถูกย้อนไปไกลกว่านั้น
บริษัทที่เก่าแก่ที่สุดในเครือ ก็คือ Boucheron แบรนด์เครื่องประดับสุดหรูของฝรั่งเศส ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1858 และเป็นที่โปรดปรานอย่างมากของชนชั้นสูงในยุคนั้น
Kering ยังเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับชั้นนำอีกมากมาย
ทั้ง Yves Saint Laurent ของฝรั่งเศส และของประเทศอื่น ๆ เช่น Gucci และ Bottega Veneta ของอิตาลี
ด้วยความที่มีแบรนด์หรูระดับโลกมากมาย มูลค่าบริษัทของ Kering จึงสูงถึง 3.7 ล้านล้านบาท
- L'Oréal
ก่อตั้งในปี 1909 โดยนักเคมีชาวฝรั่งเศส ชื่อ Eugène Schueller ได้คิดค้นน้ำยาย้อมสีผม แล้วได้รับเสียงตอบรับจากช่างทำผมในเมืองปารีสเป็นอย่างมาก
จนทำให้เขาตั้งเป็นบริษัท Société Française de Teintures Inoffensives pour Cheveux ขึ้นมา และต่อมาก็เปลี่ยนชื่อเป็น L'Oréal
แต่หลังจากที่ Eugène Schueller เสียชีวิต แล้ว François Dalle ได้เข้ามาบริหารงานแทน
Dalle ก็ได้ขยายตลาดด้วยการซื้อบริษัทเครื่องสำอางแบรนด์อื่น โดยมีจุดประสงค์เพื่อเจาะกลุ่มตลาดใหม่ และเพิ่มช่องทางการกระจายสินค้า
หลังจากนั้น L'Oréal ก็ซื้อบริษัทอื่นเข้ามาเรื่อย ๆ ทั้งผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง เวชสำอาง เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ
จนในที่สุด L'Oréal ก็กลายเป็นบริษัทเครื่องสำอางที่มีมูลค่าบริษัทมากที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าบริษัทกว่า 8.4 ล้านล้านบาท
- Dior
ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง Christian Dior ดีไซเนอร์อิสระ ได้รับจ้างออกแบบหมวกให้กับแวดวงไฮโซ ที่ผ่านชีวิตล้มลุกคลุกคลานจนได้เปิดห้องเสื้อของตัวเองในปี 1946
เขาสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับวงการแฟชั่นของปารีส ด้วยคอลเลกชันแรก ที่มีชื่อว่า “New Look” เป็นชุดเข้ารูป และกระโปรงสุ่มบาน ก่อนจะขยายผลิตภัณฑ์ไปสู่น้ำหอม “Miss Dior” อันโด่งดัง
หลังจากนั้นแบรนด์ Dior ก็ผ่านการล้มลุกคลุกคลาน จนท้ายที่สุดก็ได้มาอยู่ภายใต้การบริหารของ Bernard Arnault แห่ง LVMH ในปี 1984
Dior ก็เติบโตจนเป็นอาณาจักรแฟชั่นที่มียอดขายหลักล้านล้านบาท และมีมูลค่าตลาด 4.8 ล้านล้านบาท..
แต่ฝรั่งเศสไม่ได้มีแค่แบรนด์หรูเท่านั้น..
นอกจากทั้ง 6 บริษัทแบรนด์หรูที่กล่าวมาข้างต้น บริษัท Top 10 ของฝรั่งเศสยังประกอบไปด้วย
- อุตสาหกรรมไฟฟ้า 1 บริษัท
- ยารักษาโรค 1 บริษัท
- ก๊าซ 1 บริษัท
- และพลังงาน 1 บริษัท
และเช่นเดียวกับแบรนด์หรู หากเรียงลำดับอายุของการก่อตั้ง จะเริ่มต้นจาก..
- Schneider Electric
ในช่วงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ถึงแม้อุตสาหกรรมในฝรั่งเศสจะไม่ได้โดดเด่นเท่าอังกฤษหรือเยอรมนีในยุคเดียวกัน แต่องค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ของฝรั่งเศสก็ไม่น้อยหน้าใคร
นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส Pierre-Émile Martin เป็นผู้พัฒนาเตากระทะ หรือ Open Hearth Furnace เพื่อใช้สำหรับหลอมเหล็กกล้าซึ่งต้องใช้อุณหภูมิสูงมาก
2 พี่น้องครอบครัว Schneider เดินทางจากเมืองบ้านเกิดที่อยู่ไม่ไกลจากชายแดนเยอรมนี มาลงทุนสร้างเตาหลอมเหล็กในเมือง Le Creusot ในปี 1836 จนกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเหล็กกล้าและเครื่องจักร
ไม่นานก็ได้ขยายเข้าสู่อุตสาหกรรมก่อสร้างและไฟฟ้า
ปัจจุบัน Schneider Electric คือผู้นำในอุตสาหกรรมไฟฟ้า ระบบอัตโนมัติ การควบคุมอาคาร และการบริหารจัดการพลังงานระดับโลก มีมูลค่าบริษัท 3.3 ล้านล้านบาท
- Sanofi
ปี 2020 ฝรั่งเศสส่งออกยารักษาโรค มากเป็นอันดับ 4 ของโลก คิดเป็นมูลค่ากว่า 9.3 แสนล้านบาท
หนึ่งในจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมยาในฝรั่งเศส มาจากห้องทดลองของนักวิทยาศาสตร์ ที่คนทั้งโลกจะต้องคุ้นเคยกับชื่อของเขา คือ Louis Pasteur ผู้ให้กำเนิดกระบวนการพาสเจอไรซ์ หรือการใช้ความร้อนฆ่าเชื้อโรค
Louis Pasteur เป็นผู้วิจัยและพัฒนาวัคซีนพิษสุนัขบ้า และผู้ก่อตั้ง Pasteur Institute สถาบันวิจัยด้านวัคซีนในปี 1887
จนในปี 1974 Pastuer Production ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นโรงงานผลิตวัคซีน และได้ถูกควบรวมเข้ากับบริษัทยาอีกหลายแห่ง จนท้ายที่สุดก็อยู่ภายใต้บริษัทยา Aventis
ต่อมาในปี 2004 Aventis ก็ได้ควบรวมกับบริษัท Sanofi และทำให้ Sanofi กลายเป็นบริษัทยาที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย ทั้งยารักษาโรคเรื้อรัง ยารักษาโรคมะเร็ง วัคซีน
รวมถึงวัคซีนโควิด 19 ที่กำลังทำการวิจัยอยู่ในระยะที่ 3 ด้วย
ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย Sanofi จึงมีมูลค่าตลาดมากถึง 4.3 ล้านล้านบาท
- Air Liquide
Georges Claude วิศวกรชาวฝรั่งเศส ได้พัฒนากระบวนการทำให้อากาศกลายเป็นของเหลว เพื่อแยกส่วนประกอบสำคัญในอากาศ คือก๊าซไนโตรเจน และก๊าซออกซิเจนออกจากกัน
กระบวนการนี้ทำให้ได้ก๊าซบริสุทธิ์ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญอย่างมากสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ก๊าซไนโตรเจน ใช้สำหรับการถนอมอาหาร อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมี
ในขณะที่ก๊าซออกซิเจน นอกจากจะใช้ทางการแพทย์แล้ว ยังสำคัญในอุตสาหกรรมเหล็กและกระจกอีกด้วย
ความสำเร็จนี้ทำให้ Georges Claude ได้ก่อตั้งบริษัท Air Liquide ในปี 1902
ปัจจุบัน Air Liquide ให้บริการแก๊สสำหรับอุตสาหกรรมและทางการแพทย์ เคมี และอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และมีมูลค่าบริษัทกว่า 2.8 ล้านล้านบาท
- TotalEnergies
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 กองทัพฝรั่งเศสประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมันอย่างหนัก จนต้องขอความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งในเวลานั้น อุตสาหกรรมน้ำมันในสหรัฐอเมริกาครองสัดส่วนกว่า 70% ของโลก
เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้มอบหมายให้ Ernest Mercier จัดตั้งบริษัทปิโตรเลียมแห่งฝรั่งเศส (CFP) ในปี 1924 เพื่อความมั่นคงทางพลังงานของฝรั่งเศสเอง
ในปัจจุบัน CFP ได้เปลี่ยนชื่อเป็น TotalEnergies เป็นบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส
เป็นผู้ผลิตน้ำมันเครื่อง และผลิตภัณฑ์หล่อลื่นทั้งกับยานยนต์และอุตสาหกรรม
มีมูลค่าบริษัทกว่า 3.9 ล้านล้านบาท
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ 10 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศฝรั่งเศส
ทุกบริษัทล้วนมีมูลค่าบริษัทมากกว่า 1.1 ล้านล้านบาท
ซึ่งเป็นมูลค่าที่ใหญ่กว่าบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในประเทศไทย อย่างบริษัท ปตท.
หลายคนอาจคิดว่า แบรนด์ฝรั่งเศส สร้างเพียงแค่ Story ก็เพียงพอแล้วที่จะสามารถส่งออกไปขายได้ทั่วโลก
แต่ทั้งหมดจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ วิจัยและพัฒนาต่อยอดอย่างเป็นระบบ
และผ่านการบริหารกิจการ โดยเฉพาะการควบรวมแบรนด์ ที่ทำให้การบริหารมีประสิทธิภาพ และเพิ่มช่องทางกระจายสินค้าได้มากขึ้น
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ประเทศฝรั่งเศสไม่ได้เชี่ยวชาญแต่แวดวงศิลปะเท่านั้น
เพราะการพัฒนาศิลปะจะเติบโตได้ ส่วนหนึ่งจะต้องเกิดจากการพัฒนาองค์ความรู้ในด้านอื่น ๆ ควบคู่กันไป โดยเฉพาะองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
จากการสังเกตบริษัทชั้นนำ 10 บริษัทของแต่ละประเทศ เราก็สามารถบอกได้คร่าว ๆ ว่าประเทศเหล่านั้นมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมด้านไหน และให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมอะไรในอนาคต
สำหรับฝรั่งเศส คงบอกได้ว่า
ประเทศนี้สามารถนำโลกแห่งศิลปะ กับวิทยาศาสตร์ ซึ่งดูเหมือนอยู่คนละขั้วกัน
มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://companiesmarketcap.com/france/largest-companies-in-france-by-market-cap/
-https://www.essilor.co.th/about-essilor
-https://www.vogue.co.uk/article/christian-dior
-https://www.airliquide.com/shareholders/stock-share/focus-on/air-liquide-118-years-history-individual-shareholders
-https://www.se.com/th/en/about-us/company-profile/history/schneider-electric-history.jsp
-https://www.worldstopexports.com/drugs-medicine-exports-country/
-https://www.sanofi.com/en/about-us/through-time
-https://totalenergies.com/group/identity/history
「ยารักษาโรค คือ」的推薦目錄:
ยารักษาโรค คือ 在 Facebook 的最佳貼文
หมายเหตุ อันนี้โพสต์บ่น
วันนี้ผมจะมาพูดหน่อยครับว่า
ทำไมการทำให้ "ประชาชนกินดีอยู่ดี"
ถึงเป็นมาตรการขั้นต่ำในการทำให้ประเทศชาติพัฒนาได้
ในการที่มนุษย์จะเลือกทำอะไรสักอย่างกับชีวิตได้
เขาจะต้องได้รับการตอบสนองพื้นฐานในการมีชีวิตก่อน
ถ้าในพุทธจะมีปัจจัยสี่
คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค
ซึ่ง 4 อย่างนี้จะจัดอยู่ในกลุ่ม
Physiological & Safety Needs ของ Maslow
----------------------------
กล่าวคือ
ถ้าเราไม่มีอาหารกินเพื่ออยู่รอด
เราจะเลือกทำอะไรโดยไม่สนความปลอดภัยของตัวเอง
ถ้าเราไม่มีความปลอดภัยในชีวิต
เราจะไม่สนเรื่องความสัมพันธ์ความรู้สึกของผู้อื่น
และต่อไปเรื่อยๆ
จนถึงขั้นบนสุด
*คือการพยายามพัฒนาตนเพื่อไปให้ถึงจุดเป้าหมายที่มีค่า*
------------------------------
ซึ่ง "การพัฒนา" นะครับ
มันไม่ได้เป็นสิ่งจำเป็นขั้นต่ำต่อความอยู่รอดของสังคม
อย่างสมมุติว่าคุณมีระบบเศรฐกิจ
ที่เพียงพอต่อการเลี้ยงประชากร
ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นประเทศล้าหลังยังไง
อย่างน้อยมันก็ยังไม่มีใครอดตาย
*แต่*
ถ้าระบบเศรฐกิจนั้นมันไม่เพียงพอ
คุณจะไม่มีทรัพยากรมากพอที่จะเอามาใช้ใน "การพัฒนา "ได้
เพราะคุณต้องเอาทรัพยากรที่จำกัด
มาทำการ **ซ่อม** ระบบที่ผุพังอยู่
-------------------------
อย่างสมมุติคุณจะบอกว่า
เราจะทำโครงการพันล้าน
สร้างอาคารเจดีย์เลี่ยมทอง
ทรัพยากรที่จะเอามาสร้างมัน
จะต้องเก็บมาจากภาษีของประชาชน
แล้วภาษีนั้นมาจากไหน?
ก็มาจากส่วนแบ่งที่ประชาชนทำการใช้จ่ายกัน
ถ้าประชาชนสะสมทรัพย์และมีการใช้จ่ายได้มากเท่าไหร่
ภาษีที่เอามาใช้พัฒนาอะไรต่างๆได้ก็จะมากขึ้นเท่านั้น
---------------------------
แต่ถ้าประชาชนใช้ชีวิตกันอย่างขัดสน
ประชาชนจะต้องเก็บเงินมาไว้ใช้จ่ายเพื่อความอยู่รอด
ทำให้ทรัพย์ที่สามารถจ่ายเป็นภาษีได้นั้นยิ่งลดตามลงไป
ทำให้ประเทศนั้นยิ่งพัฒนาได้ล่าช้ายิ่งขึ้น
------------------------
และถ้าระบบมันผุพังจนประชาชนไม่สามารถอยู่รอดได้
อาชญากรรมก็จะสูงขึ้น
เพราะเขา*จำเป็น*ต้องทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
มนุษย์จะไม่สนสิทธิความรู้สึกของผู้อื่น
ถ้าชีวิตของเขาไม่มีความปลอดภัย
มนุษย์จะเลือกสร้างความเดือดร้อนต่อผู้อื่นได้
ถ้าชีวิตเขาอยู่ในภัยอันตราย
------------------
ซึ่งสิ่งที่เรามีไว้เพื่อแก้ปัญหานั้น
เราเรียกมันว่า "สวัสดิการ" ครับ
สวัสดิการนะ
มันมีเอาไว้เติมเต็มปัจจัยความเป็นอยู่ขั้นต่ำ
สำหรับการดำรงชีพของมนุษย์
**และต่อให้ประเทศเป็นเผด็จการ**
ถ้าความต้องการขั้นต่ำถูกเติมเต็ม
จำนวนประชาชนที่จะต่อต้านรัฐก็จะยิ่งลดลงตาม
----------------------
ด้วยเหตุนี้
**ผู้ปกครองที่มีความสามารถ**
จะยิ่งพยายามทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกัน
ไม่ใช่เพราะเป็นการ"ทำเพื่อชาติและประชาชน"
แต่เป็นการ"ทำเพื่อตัวเอง" ด้วย
เพราะยิ่งความต้องการของประชาชนถูกเติมเต็มมากเท่าไหร่
ความจำเป็นจะต้องใช้ทรัพย์ไปซ่อมระบบมันก็จะลดตาม
คุณจะเอาส่วนแบ่งที่เหลือพันล้านไปทำอะไร
เขาก็จะไม่มาประท้วงต่อว่าคุณ
--------------------
แต่ในทางกลับกัน
ถ้าคุณเอางบประมาณไปทำอะไรนิดอะไรหน่อย
แล้วประชาชนก็ออกมาแสดงความไม่พอใจกัน
นั่นเป็นหลักฐานครับว่า
ระบบนะ ...... มัน"พัง"กันขนาดไหน ...........
เพราะทรัพย์ที่มีนั้น
มันควรเอามาใช้ซ่อมระบบที่ผุพังก่อน
*****มันไม่ได้มีมากพอที่จะเอาไปทำอย่างอื่น
โดยไม่สนความเป็นตายของประชาชน*****
---------------------
และผู้ปกครองที่ทำกันอย่างนั้นนะ
***คือผู้ปกครองที่โง่เขลาครับ***
ทุบหม้อข้าวอันเป็นแหล่งที่มารายได้ตัวเองไม่พอ
ยังมาตัดปัจจัยที่จะทำให้ตัวเองได้รับความต้องการสูงสุดด้วย
ไม่มีทั้ง Esteem และ Self-Actualization
เพราะจะทำอะไรไปก็จะมีแต่ถูกผู้อื่นต่อว่า
ไม่สามารถขึ้นไปถึงขั้นยอดคนที่ผู้คนจะมายกย่องได้ครับ
ยารักษาโรค คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
ทำไม สหรัฐอเมริกา จึงเป็นประเทศแห่ง เทคโนโลยีทางการแพทย์ ? / โดย ลงทุนแมน
ปี 2020 เรามีวัคซีนป้องกันโรคระบาดที่ใช้เวลาคิดค้นรวดเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์
ด้วยเทคโนโลยี mRNA ที่ไม่เคยใช้กับวัคซีนที่วางจำหน่ายตัวไหนมาก่อน
และด้วยเทคโนโลยีเดียวกันนี้เอง กำลังได้รับการพัฒนาให้สามารถนำไปรักษาโรคเรื้อรังอื่นๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง และโรคหัวใจ
เวลานี้ ความหวังแห่งอนาคตถูกจับจ้องไปยังสิ่งที่เรียกว่า “ไบโอเทคโนโลยี”..
ไบโอเทคโนโลยี หรือ เทคโนโลยีชีวภาพ
คือ เทคโนโลยีที่นำเอาสิ่งมีชีวิต, ชิ้นส่วนของสิ่งมีชีวิต, ผลผลิตของสิ่งมีชีวิต มาประยุกต์ใช้เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตร อาหาร เครื่องสำอาง
โดยเฉพาะในทางการแพทย์ ไบโอเทคโนโลยีคือพื้นฐานของการผลิตวัคซีนป้องกันโรค
การใช้ฮอร์โมนในการรักษาโรคเรื้อรัง ไปจนถึงการใช้ยีนในการรักษาโรคทางพันธุกรรม
และสำหรับประเทศที่เป็นผู้นำในด้านนี้ ไม่มีประเทศไหนที่จะโดดเด่นไปกว่า
“สหรัฐอเมริกา” อีกแล้ว
จากประเทศที่เพิ่งก่อตั้งในช่วงปลายศตวรรษที่ 18
สหรัฐอเมริกา ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโลกแห่งเทคโนโลยีทางการแพทย์ได้อย่างไร?
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ตอน ทำไม สหรัฐอเมริกา จึงเป็นประเทศแห่ง เทคโนโลยีทางการแพทย์ ?
╔═══════════╗
ชอบบทความแบบนี้ ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้
เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
╚═══════════╝
คนทั้งโลกรู้ว่าศูนย์กลางของบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ที่ซิลิคอนแวลลีย์
ศูนย์กลางธุรกรรมการเงิน ตั้งอยู่ที่นครนิวยอร์ก
ส่วนศูนย์กลางอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และสื่อบันเทิง ตั้งอยู่ที่ลอสแอนเจลิส
แล้วศูนย์กลางของอุตสาหกรรมไบโอเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ที่ไหน ?
ถึงแม้สหรัฐอเมริกาจะมีบริษัทยา และบริษัทไบโอเทคตั้งอยู่ในเมืองน้อยใหญ่กระจายทั่วประเทศ แต่สำหรับศูนย์กลางที่น่าสนใจที่สุด เวลานี้คงไม่มีที่ไหนจะโดดเด่นไปกว่า
“รัฐแมสซาชูเซตส์” ทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ อีกแล้ว
หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับชื่อรัฐนี้ แต่หากบอกว่ารัฐแห่งนี้เป็นที่ตั้งของเมืองบอสตัน
และเคมบริดจ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานศึกษาชั้นนำของโลก อย่าง MIT และ Harvard University
ก็คงพอจะเข้าใจได้ไม่ยาก
แต่ก่อนที่จะกล่าวถึงรัฐแมสซาชูเซตส์ ลงทุนแมนขอพาทุกท่านย้อนไปยังจุดเริ่มต้น
ของอุตสาหกรรมยาในสหรัฐอเมริกากันสักนิด
ในปลายศตวรรษที่ 19 สหรัฐอเมริกาเริ่มปฏิวัติอุตสาหกรรมช้ากว่าหลายประเทศในยุโรป แต่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในโลกอุตสาหกรรมได้ ด้วยคุณสมบัติสำคัญ คือ การผลิตในปริมาณมาก หรือ Mass Production
ความเชี่ยวชาญในด้านการผลิต ค่อยๆ ถูกต่อยอดมาสู่อุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า และยานยนต์
แต่สำหรับอุตสาหกรรมยา สหรัฐอเมริกายังตามหลังประเทศในยุโรปพอสมควร
โดยเฉพาะอังกฤษ และเยอรมนี
จุดเปลี่ยนสำคัญก็คือ ปี ค.ศ. 1941 ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่สอง
ในขณะที่ประเทศในยุโรปต่างบอบช้ำจากสงคราม สหรัฐอเมริกาที่อุตสาหกรรมก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ กลับแทบไม่ได้รับความเสียหาย ทั้งยังได้ประโยชน์จากการขายสินค้าให้กับประเทศในยุโรป ที่มัวแต่วุ่นวายอยู่กับสงคราม
และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ นักวิทยาศาสตร์เก่งๆ โดยเฉพาะชาวยิวจากทั่วยุโรป
ที่อพยพหนีการสังหารล้างเผ่าพันธุ์ของนาซี ได้อพยพเข้าไปอาศัยในสหรัฐอเมริกา
และช่วยพัฒนาองค์ความรู้ด้านการแพทย์ เคมี และยาของสหรัฐฯให้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
สหรัฐอเมริกายังมีมูลนิธิที่ให้การสนับสนุนการวิจัยด้านการแพทย์
ซึ่งหนึ่งในมูลนิธิที่ใหญ่ที่สุดก็คือ Rockefeller Foundation
ซึ่งก่อตั้งโดยมหาเศรษฐีน้ำมัน John D. Rockefeller
มูลนิธินี้ได้ให้การช่วยเหลืองานวิจัยด้านการแพทย์มากมาย หนึ่งในงานวิจัยที่สำคัญคือ
การพัฒนายา Penicillin ให้สามารถผลิตได้ในระดับอุตสาหกรรม
Penicillin เป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียตัวแรกของโลกที่ค้นพบโดยคุณหมอชาวอังกฤษ
แต่ถูกนำมาผลิตในระดับอุตสาหกรรมที่สหรัฐอเมริกา
จากยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ถูกต่อยอดมาเป็นการพัฒนายารักษาโรคต่างๆ
และทำให้อุตสาหกรรมยาของสหรัฐอเมริกาเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญของงานวิจัยด้านไบโอเทคโนโลยีทางการแพทย์
คือ การค้นพบโครงสร้างของ DNA โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ
DNA คือ สารพันธุกรรม ที่มีหน้าที่เก็บยีน หรือข้อมูลทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต
การศึกษาด้าน DNA สามารถต่อยอดไปสู่การวินิจฉัยโรค การรักษาโรค
การผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันโรคต่างๆ
งานวิจัยด้าน DNA ได้รับความสนใจไปทั่วโลก และก็เป็นสหรัฐอเมริกาอีกเช่นกัน
ที่เป็นประเทศแรกๆ ที่ให้การสนับสนุนการวิจัยด้าน DNA และอนุญาตให้มีการทดลองด้าน DNA อย่างจริงจัง ในช่วงทศวรรษ 1970s
โดยหนึ่งในผู้ให้การสนับสนุนที่สำคัญของการทดลองด้าน DNA
คือสภาของเมืองเคมบริดจ์ ในรัฐแมสซาชูเซตส์
ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น เขตเมืองบอสตัน-เคมบริดส์ ในรัฐแมสซาชูเซตส์ เป็นเขตที่ตั้งของสถาบันอุดมศึกษากว่า 122 แห่ง โดยมีมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ทั้ง Harvard University, MIT หรือ Massachusetts Institute of Technology, Boston University, Tufts University และมหาวิทยาลัยระดับโลกอีกมากมาย
การสนับสนุนของสภาเมืองเคมบริดจ์ จึงเป็นเหมือนประตูที่เปิดโอกาสสู่โลกของการวิจัยด้านไบโอเทคโนโลยีทางการแพทย์อย่างจริงจัง
ทำให้เกิดการจัดตั้งบริษัทไบโอเทคที่ต่อยอดจากงานวิจัยในห้องทดลอง มาสู่ภาคธุรกิจจริง
Biogen ก่อตั้งในปี 1978
เป็นบริษัทที่เน้นการวิจัยด้านพันธุวิศวกรรม ต่อยอดมาสู่ยาชีวภาพที่ใช้ในการรักษาโรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยนักวิทยาศาสตร์หลายชาติ หนึ่งในนั้นคือศาสตราจารย์จาก MIT
Genzyme ก่อตั้งในปี 1985
บริษัทที่เน้นการวิจัยด้านเอนไซม์ ก่อตั้งโดยศาสตราจารย์ด้านเคมีจาก Harvard University และต่อยอดจากงานวิจัยสู่การดัดแปลงเอนไซม์ที่ใช้ในการรักษาโรคผิดปกติทางพันธุกรรม
จากจุดเริ่มต้นในห้องทดลอง พัฒนามาสู่การก่อตั้งเป็นธุรกิจ
เขตเมืองบอสตัน-เคมบริดจ์ ที่หนาแน่นไปด้วยนักวิจัยอยู่แล้ว ก็ยิ่งดึงดูดทั้งนักวิทยาศาสตร์ และนักลงทุน ให้เข้ามามีส่วนร่วมให้การพัฒนางานวิจัยมากขึ้นไปอีก
แต่เนื่องจากการวิจัยและพัฒนาด้านไบโอเทคโนโลยี เป็นงานวิจัยที่ต้องใช้เงินทุนสูงมาก และมีความเสี่ยงมากที่จะขาดทุน ทำให้มีภาคเอกชนน้อยมากที่จะกล้าเสี่ยง
การสนับสนุนจากภาครัฐจึงเป็นกุญแจที่สำคัญ
โดยสหรัฐอเมริกา มีสถาบันสุขภาพแห่งชาติ หรือ National Institute of Health (NIH)
ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลกลาง ที่ให้การสนับสนุนงบประมาณในการวิจัยทางการแพทย์
ความโดดเด่นของรัฐแมสซาชูเซตส์ ในด้านบุคลากร สถาบันการศึกษา และบริษัทเอกชน
จึงทำให้เป็นรัฐที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก NIH มากที่สุดในสหรัฐอเมริกา ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1994 โดยในปี 2018 รัฐแห่งนี้ ก็ได้รับงบประมาณสนับสนุนกว่า 60,000 ล้านบาท
ในขณะที่รัฐบาลของรัฐแมสซาชูเซตส์เอง ก็ได้สนับสนุนให้มีการลงทุนในธุรกิจไบโอเทคโนโลยีอย่างจริงจัง โดยให้งบประมาณสนับสนุนมากถึง 30,000 ล้านบาท ในช่วงตลอดระยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2008
และเป็นผู้นำในการจัดตั้งองค์กรเพื่อช่วยเหลือด้านการวิจัยเทคโนโลยีการแพทย์
หรือ Massachusetts Life Sciences Center (MLSC) ที่ทำหน้าที่ให้เงินทุนสนับสนุน ให้เงินทุนกู้ยืม
อบรมบุคลากร ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และช่วยวางแผนพัฒนาธุรกิจ ให้กับเหล่าบริษัทไบโอเทคที่เพิ่งก่อตั้งใหม่
การที่มีภาครัฐเข้ามาเป็นส่วนร่วมในภาคธุรกิจ เป็นแรงผลักดันสำคัญมากที่ทำให้งานวิจัยด้านไบโอเทคโนโลยีของสถาบันการศึกษา สามารถนำมาต่อยอดเป็นธุรกิจได้ในเวลาอันรวดเร็ว
นำมาสู่การจัดตั้งบริษัทด้านไบโอเทคถึง 430 แห่งในช่วงทศวรรษ 2000s - 2010s
ซึ่งก็ล้วนมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเขตเมืองบอสตัน และปริมณฑล
และหนึ่งในบริษัทที่น่าสนใจ ก็คือ..
Moderna ที่ก่อตั้งในปี 2013
บริษัทที่ก่อตั้งโดยศาสตราจารย์จาก Harvard University เน้นการวิจัยด้าน RNA ซึ่งเป็นเหมือนแบบแปลนของ DNA ที่สามารถถูกนำมาใช้ในการสร้างโปรตีน
งานวิจัยเรื่อง RNA ได้ถูกต่อยอดมาเป็นการใช้ mRNA หรือ messenger RNA ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างโปรตีนที่มีโครงสร้างเหมือนกับโปรตีนของโคโรนาไวรัส ที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันตรวจพบ และสามารถผลิต Antibody มาป้องกันโรคได้
นำมาสู่การเป็นผู้ผลิตวัคซีนต้านโควิด 19 จาก mRNA เป็นรายแรกๆ ของโลก
ซึ่งไม่เคยมีวัคซีนตัวไหนในท้องตลาดที่ใช้เทคโนโลยีนี้มาก่อน
นอกจากบริษัทใหม่ๆ ที่ถือกำเนิดขึ้นแล้ว
เขตเมืองบอสตัน-เคมบริดจ์ ยังดึงดูดบริษัทยายักษ์ใหญ่ทั่วโลก ทั้งบริษัทสัญชาติอเมริกันอย่าง Pfizer, Bristol Myers Squibb และบริษัทสัญชาติสวิสอย่าง Novartis
ให้มาตั้งสำนักงานวิจัย และพัฒนาด้านไบโอเทคโนโลยีในเขตนี้
จากจุดเริ่มต้นในทศวรรษ 1970s
ในวันนี้ รัฐแมสซาชูเซตส์คึกคักไปด้วยงานวิจัยด้านไบโอเทคโนโลยีทางการแพทย์
ต่อยอดจากงานวิจัยสู่บริษัทที่ผลิตทั้งวัคซีน ยารักษาโรค
ผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่เปิดความเป็นไปได้ในการวินิจฉัย การเยียวยารักษาโรคอีกมากมาย
และเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้สหรัฐอเมริกา กลายเป็นเบอร์หนึ่งในวงการเทคโนโลยีทางการแพทย์ของโลก
หากไบโอเทคโนโลยีคือความหวังของการแพทย์แห่งโลกอนาคต
หนึ่งในที่ผู้กุมชะตาสำหรับโลกอนาคต ก็คงจะหนีไม่พ้น “สหรัฐอเมริกา”..
อ่านซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ในตอนก่อนหน้าทั้งหมดได้ที่แอป Blockdit blockdit.com/download
╔═══════════╗
ชอบบทความแบบนี้ ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้
เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References:
-http://www.bio-nica.info/biblioteca/Paugh1997BiotechnologyIndustry.pdf
-https://fivethirtyeight.com/sponsored/massachusetts-biotech/
-https://www.epmscientific.com/blog/2018/05/move-over-california-boston-is-now-the-worlds-no-dot-1-biotech-hub
-https://www.masslifesciences.com/why-ma/
-https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/vaccines/different-vaccines/mrna.html
ยารักษาโรค คือ 在 ยารักษาโรคโควิดมีอ... - โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ราช ... - Facebook 的推薦與評價
ยารักษาโรค โควิดมีอะไรบ้าง ? ... ๆ รวมถึงมีการคิดค้นและพัฒนาตัวยาสำหรับใช้รักษาโรคโควิด-19 อย่างไม่หยุดยั้ง ... #ทุกชีวิตของคนไข้คือหัวใจของเรา ... <看更多>
ยารักษาโรค คือ 在 อุ่นใจใกล้มือหมอ ตอน การปรับเปลี่ยนยารักษาโรคเพื่อให้เหมาะสม ... 的推薦與評價
ปรับเปลี่ยน ยา เพื่อการ รักษา สุขภาพให้ดียิ่งขึ้น.รู้จักอาการ รู้จัก ยา ที่ รักษา พบกับการติดตามเคสผู้ป่วยของภาควิชาเวชศาสตร์ครอบครัว ... ... <看更多>