หากคุณเลือกที่จะเปิดร้านค้าออนไลน์ นอกจากการทำคอนเทนต์ที่ดีจะเป็นเรื่องสำคัญนั้น อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน แถมยังช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าสนใจสินค้าของคุณได้ดี ก็คือ การทำการตลาดออนไลน์ ซึ่งวิธีที่คนเลือกใช้มากที่สุด หนีไม่พ้นการทำโฆษณา หรือที่เรียกว่า “ยิงแอด”
.
ซึ่งช่องทางโฆษณายอดฮิตที่หลายคนเลือกใช้และมุ่งความสนใจไปมากที่สุด ก็คือ 2 ช่องทางนี้ “Facebook Ads” และ “Google Ads” แล้วจะเลือกช่องทางไหนดีกว่ากัน? มันต่างกันตรงไหน? และช่องทางไหนที่เหมาะกับธุรกิจเรามากที่สุด วันนี้ เรามีข้อมูลแต่ละด้านมาให้ทุกคนได้ทำความรู้จักและเปรียบเทียบถึงความแตกต่างของทั้ง 2 ช่องทาง เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกได้ง่ายขึ้นว่าช่องทางไหนจะทำให้การทำโฆษณาของคุณมีประสิทธิภาพมากที่สุด
.
1.จุดเด่น
“Facebook Ads”
Facebook คือ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่หลายคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี มียอดผู้เข้าใช้ทั้งสิ้นประมาณ 2.6 พันล้านบัญชี ซึ่งบริษัทต่างๆ มักนิยมทำโฆษณาบนแพลตฟอร์ม “Facebook Ads” จุดเด่นก็คือ
- สามารถเลือกรูปแบบโฆษณาได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ทั้งการเพิ่มการรรับรู้แบรนด์ ช่วยในการตัดสินใจของผู้บริโภค รวมถึงเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจ
- เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมกับแบรนด์มากขึ้น
- เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้หลายกลุ่มมากกว่า เนื่องจากสามารถเลือกยิงโฆษณาได้ตามความสนใจหรือตามพฤติกรรมเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายที่ต้องการได้ ทั้งยังสามารถเลือกยิงโฆษณาไปหากลุ่มเป้าหมายได้ตามเพศ อายุ อาชีพ ภูมิลำเนา เป็นต้น
.
“Google Ads”
Google แพลตฟอร์มการค้นหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทั้งขนาดและจำนวนผู้ใช้ที่มีไปทั่วโลก ซึ่งจากสถิติของ Search Engine Land พบว่า Google มียอดค้นหามากกว่า 63,000 / วินาที ครองตลาดไปกว่า 75% แพลตฟอร์มนี้จึงกลายเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่บริษัทนิยมใช้ในการทำโฆษณา
โดยจุดเด่นก็คือ
- เป็นโฆษณาที่จะแสดงตามคำที่ผู้ใช้งานค้นหา โดยที่คนเหล่านี้จะต้องมีความต้องการอยู่แล้ว
- Google Ads เปรียบเสมือนเครื่องมือที่ช่วยตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีความต้องการ
- มีความแม่นยำในการเข้าหากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการสินค้าและบริการได้อย่างตรงจุดที่สุด
.
2.รูปแบบของโฆษณา
“Facebook Ads” เป็นโฆษณาแบบหว่าน (Push Marketing) คือ โฆษณาที่ร้านค้าจะเป็นคนเลือกกลุ่มเป้าหมายเอง แล้วยิงโฆษณาไปหากลุ่มนั้นๆ เช่น ต้องการให้โฆษณายิงไปหาผู้ใช้ที่เป็นผู้หญิง อายุ 18-25 ปี ทำอาชีพเป็นพนักงานออฟฟิศ เป็นต้น ซึ่งผู้ใช้เหล่านั้นมักไม่ได้มีความต้องการหรืออยากได้สินค้าหรือบริการนั้นมาก่อน โดยรูปแบบของโฆษณามีความหลากหลายสามารถเลือกได้ตามความต้องการและความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น ภาพ วิดีโอ และ Carousel
“Google Ads” เป็นโฆษณาแบบตั้งรับ (Pull Marketing) คือ เป็นโฆษณาที่ต้องรอให้ผู้ใช้งานค้นหาคำที่ต้องการก่อน ซึ่งจะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมีการค้นหาเท่านั้น โดยมีให้เลือกทำหลากหลายรูปแบบเช่น โฆษณาแบบ SEM หรือ Search Engine Marketing โฆษณาบนหน้าค้นหา และ GDN หรือ Google Display Network โฆษณาแบบแบนเนอร์ หรือกล่องโฆษณาที่ขึ้นบนเว็บไซต์ต่างๆ
.
3.การแสดงผล
“Facebook Ads” โฆษณามักแสดงผลบนหน้าแรกของเฟซบุ๊กของกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด แม้พวกเขาจะไม่ได้ต้องการสินค้าหรือบริการนั้นก็ตาม แต่หากคุณสมบัติ ความสนใจ และพฤติกรรมของเขาตรงกับสิ่งที่เรากำหนดไว้ อย่างไรแล้วโฆษณาก็จะไปแสดงผลบนหน้าแรกของเขาแน่นอน ซึ่งหากเขาเห็นโฆษณาบ่อยๆ ก็อาจทำให้เกิดความอยากได้ อยากซื้อขึ้นมาได้
“Google Ads” การแสดงผลของโฆษณาบน Google จะแสดงก็ต่อเมื่อมีการค้นหาคำเฉพาะของสินค้าที่ลูกค้าต้องการ เช่น ผู้ใช้งานต้องการครีมทาผิว ก็จะทำการใส่คำว่า “ครีมทาผิวยี่ห้อไหนดี” หน้าค้นหาของ Google ก็จะปรากฏโฆษณาหรือแบรนด์ของคุณขึ้นมา สร้างโอกาสให้พวกเขาได้รู้จักและเกิดการซื้อได้ทันที ดังนั้น คำหรือคีย์เวิร์ดที่ดี คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้พวกเขาค้นหาสินค้าของคุณเจอ
.
4.การคิดเงินค่าโฆษณา
“Facebook Ads” การคิดเงินของการทำโฆษณาบน Facebook มีหลายรูปแบบ ตามแต่วัตถุประสงค์ที่ต้องการโฆษณา ทั้งคิดเงินจากการคลิก, คิดเงินจากการมองเห็น, คิดเงินจากการรับชมวิดีโอ เป็นต้น แต่หลักๆ แล้วมีด้วยกัน 2 แบบคือ
1). CPC หรือ Cost Per Click ต้นทุนต่อการคลิก เช่น เราเสนอราคาต่อคลิก 3 บาท ถ้ามีผู้ใช้งานคลิกโฆษณา 1 ครั้ง เราก็ต้องจ่ายเงิน Facebook 3 บาท แต่ถ้ามีคนคลิกดู 10 ครั้ง เราก็ต้องจ่าย 30 บาท เป็นต้น
2). CPM หรือ Cost Per Mille ต้นทุนต่อการแสดงผล 1,000 ครั้ง ก็คือ เราต้องจ่ายเงินที่ตั้งไว้ เมื่อมีการแสดงโฆษณาต่อผู้ใช้งานครบ 1,000 ครั้ง โดยไม่สนใจว่าใน 1,000 ครั้ง จะมีการคลิกหรือไม่
“Google Ads” การคิดเงินค่าโฆษณาบน Google จะคิดเงินก็ต่อเมื่อมีลูกค้าคลิกที่โฆษณาเท่านั้น ถ้าโฆษณาของคุณไม่ถูกคลิกเลย ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินแม้โฆษณาจะยังแสดงอยู่ก็ตาม แม้จะดูเป็นการคิดเงินที่ไม่สิ้นเปลือง แต่อย่าลืมว่า ยิ่งคุณต้องจ่ายน้อยเท่าไหร่ เท่ากับว่าโฆษณาของคุณนั้นไม่ถูกมองเห็น รวมถึงไม่มีประสิทธิภาพอีกด้วย
.
5.แล้วแพลตฟอร์มไหน เหมาะกับโฆษณาของคุณที่สุด
หากพูดถึงความเหมาะหรือไม่เหมาะ แน่นอนว่าต้องขึ้นอยู่กับความต้องการของร้านค้าหรือธุรกิจของคุณด้วย ซึ่งทั้ง 2 รูปแบบ ก็มีการทำงานและให้ประสิทธิผลที่ต่างกัน
สำหรับ Facebook เหมาะสำหรับร้านค้าหรือธุรกิจ ที่ต้องการ
- เพิ่มการรับรู้และการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ทั้งบนโพสต์และเพจ
- เพื่อย้ำความสนใจไปยังลูกค้าที่เคยเข้ามาเยี่ยมชมเพจ หรือร้านค้าของคุณ แต่ตอนนั้นอาจยังไม่มีความสนใจที่จะซื้อสินค้าหรือบริการ
- สามารถสร้างโฆษณาวิดีโอให้เข้าถึงผู้ชมได้จำนวนมากในเวลาเดียวกัน เนื่องจาก Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมคนหลักล้านคนไว้ด้วยกัน ซึ่งคุณสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการยิงโฆษณาให้เห็นได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของวิดีโอของคุณด้วยว่า ต้องการโฆษณาเพื่ออะไร และโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายใด
- สร้างกลุ่มเป้าหมายจากข้อมูลลูกค้าที่มีอยู่ Facebook จะมีการเก็บข้อมูลของผู้ที่เคยมีส่วนร่วมหรือเคยสนใจในสินค้าหรือบริการของเรา เช่น เพศ อายุ อาชีพ ความสนใจ เป็นต้น ซึ่งเราสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมากำหนดเป็นกลุ่มเป้าหมายในการยิงโฆษณาเพื่อสร้างลูกค้าในครั้งต่อ ๆ ไปได้
แต่ Google Ads นั้นจะเหมาะสำหรับร้านค้าหรือธุรกิจต้องการ
- เน้นไปที่การขายเป็นหลัก เพราะมีโอกาสที่คุณจะปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากลูกค้าที่เห็นโฆษณาของคุณบนหน้า Google นั้น มักมีความต้องการหรืออยากได้สินค้านั้น ๆ อยู่แล้ว
- โฆษณารูปแบบการค้นหา อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า โฆษณาของ Google หลักๆ คือ แสดงผลเมื่อมีการค้นหา แน่นอนว่าลูกค้ามักมีความต้องการอยากได้ หรืออยากซื้อสินค้าและบริการนั้นอยู่แล้ว หากคำหรือคีย์เวิร์ดของคุณตรง ใกล้เคียงกับลูกค้ามากที่สุด ก็มีโอกาสที่โฆษณาของคุณจะมีประสิทธิภาพสามารถปิดการขายได้ค่อนข้างดี
- โฆษณาวิดีโอบน Youtube หลายคนจะคุ้นเคยกับโฆษณารูปแบบของ skip หลังจากที่วิดีโอได้ทำงานไป สามารถแสดงก่อนหรือระหว่างการเล่นของวิดีโอที่ลูกค้ากำลังรับชมได้ ซึ่งมีหลายรูปแบบด้วยกัน เช่น Bumper Ads, Display Ads เป็นต้น ช่วยสร้างการรับรู้อย่างกว้างขวาง พร้อมกับกระตุ้นให้ลูกค้าจดจำสินค้าหรือบริการได้เป็นอย่างดี
- โฆษณาด้วยแบนเนอร์ รูปภาพ ตัวหนังสือ ที่ทำให้เกิดการคลิกเข้าไปยังหน้าเว็บไซต์ต่างๆ มักปรากฏอยู่บนเว็บไซต์ที่เป็นพาร์ทเนอร์กับ Google ซึ่งเป็นการช่วยสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์หรือสินค้าได้ดี
.
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทั้งหมดนี้ เป็นเพียงข้อมูลที่นำมาให้ทุกคนได้รู้จักการโฆษณาทั้ง Facebook Ads และ Google Ads มากขึ้น หากให้ตัดสินว่าคุณควรเลือกใช้แบบไหนมากกว่ากัน เราคงตอบไม่ได้ เพราะคนที่จะตอบได้ดีที่สุดคือตัวคุณเองว่า สินค้าและบริการคืออะไร กลุ่มเป้าหมายเป็นใคร และมีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร
.
หรือถ้าคุณอยากใช้งานทั้ง 2 รูปแบบร่วมกันก็สามารถทำได้ ด้วยการสร้างแบรนด์จาก Facebook แล้วไปปิดการขายที่ Google เนื่องจากผู้ใช้งาน Facebook ส่วนใหญ่เห็นโฆษณาแล้วสนใจ ก็มักจะไปค้นหาสินค้าหรือบริการนั้นๆ ที่ Google ซึ่งการโฆษณาในรูปแบบนี้ ก็ยิ่งเป็นผลดีกับแบรนด์ ช่วยตอกย้ำผู้บริโภคให้เกิดการรับรู้และซื้อสินค้าหรือบริการของเราในที่สุด
.
ที่มา : https://medium.com/@sidz/which-is-better-for-traffic-facebook-or-google-9b6c3c239249
https://stepstraining.co/strategy/google-ads-vs-facebook-ads-for-business
#อายุน้อยร้อยล้านNEWS
#อายุน้อยร้อยล้าน #ryounoi100lan
#Facebook #Google #Brand #Ads
#Advertising #การโฆษณา #การขาย
Search