ผมไม่ขาว
1 ในบทความจากหนังสือ #twelvecolours หนังสือเล่มเล็กๆ เล่มแรกและเล่มเดียวที่ผมเคยเขียนเมื่อ 6 ปีก่อน ...... ช่างเหมาะเจาะกับช่วงเวลาและสถานการณ์พอดิบพอดี
When I born, I black
When I grow up, I black
When I go in sun, I black
When I scared, I black
When I sick, I black
And when I die, I still Black
And you white fellow,
When you born, you pink
When you grow up, you white
When you go in sun, you red
When you cold, you blue
When you scared, you yellow
When you sick, you green
And when you die, you gray
And you calling me colored?
.
.
กลอนบทนี้ว่ากันว่าเป็นของเด็กน้อยเชื้อสายแอฟริกันที่ UN เสนอให้เป็นบทกวียอดเยี่ยมแห่งปี 2006 และมันช่างเสียดสีได้ดีและเหมาะกับเวลานี้ซะเหลือเกิน
เวลาเปลี่ยน โลกเปลี่ยน แต่มนุษย์(บางคน) ไม่ยอมเปลี่ยน......
5ปีที่แล้ว
....ผมนั่งมองดูเฝือกสีขาวที่เริ่มจะไม่ค่อยขาวบนข้อเท้าขวาของตัวเอง มันไม่มีร่องรอยการขีดเขียนอะไรเพราะถูกคุณหมอพันผ้าก๊อซทับไว้อีกชั้นจนแน่น หลายวันที่ผ่านมาจึงไม่มีใครผู้ใดสามารถใช้ปากกาเมจิกหรือหมึกซึมเขียนอะไรกวนๆลงไปได้
หลังจากเดินไม่ถนัดมาสี่ห้าวัน ผมคิดว่าคงถึงเวลาที่ต้องตัดมันออกแล้วล่ะ รำคาญชะมัดยาด มันไม่มีอะไรหัก ก็แค่ข้อเท้าพลิก เอ็นอักเสบ และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่อาการแบบนี้เกิดขึ้นกับคนชอบเล่นกีฬาประเภทต้องใช้ร่างกายเข้าปะทะแบบผม ผมจำไม่ได้ว่าในชีวิตนี้ข้อเท้าบวมแบบนี้มาแล้วกี่ครั้ง แต่ที่จำได้ชัดเลยคือครั้งล่าสุดที่มันเกิดขึ้น
เมื่อแปดปีที่แล้ว(13 ปีก่อน) ผมต้องเดินกะเผลกๆแบบนี้อยู่ในดินแดนที่ห่างออกไปเกือบหมื่นกิโลเมตรจากบ้านเกิดในแผ่นดินที่ผู้คนใฝ่ฝันอยากจะไปสัมผัสสักครั้ง
สรวงสวรรค์สำหรับพวกที่เรียกตัวเองว่าผู้ดี
เมืองแห่งบทกวีและเชอร์ล็อก โฮมส์
ประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นคนขาว
และในประวัติศาสตร์ยังไม่เคยมีผู้นำของชาตินี้ที่มีผิวสีอื่น
ถ้าจะพูดกันจริงๆ ในหลายเมืองของอังกฤษ ณ ปัจจุบันก็ไม่ได้มีคนขาวที่เป็นคอเคเชียนแท้ๆ มากเท่าไหร่เมื่อเทียบกับหลายสิบปีก่อน
ถ้าเข้าไปเช็กข้อมูลสำมะโนประชากรล่าสุดของอังกฤษจะพบว่า White British หรือคนขาวที่เป็นชาวอังกฤษแท้ๆ กลับค่อยๆ ลดจำนวนลงทีละนิดๆ โดยเฉพาะใน Greater London แต่ยังไงก็จัดว่ามีเยอะอยู่ดีล่ะนะ ทั้งในเมืองหลวง ในพื้นที่ท้องถิ่นที่ไกลออกไป รวมทั้งเวลส์ ไอร์แลนด์เหนือ และสกอตแลนด์ด้วย พูดง่ายๆ ว่ายิ่งสูงขึ้นไปและยิ่งหนาว คนขาวก็ยิ่งเยอะ นี่แหละประเทศต้นแบบของ Game of Thrones
ประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยนำนักโทษ หรือคนคุกไปทิ้งไว้ในทวีปอื่น
ประเทศที่ออกล่าตระเวนหาดินแดนใหม่ๆ เพื่อมาเป็นอาณานิคม
ประเทศต้นแบบสังคมประชาธิปไตย
ประเทศที่ครั้งหนึ่งได้ชื่อว่าเกรียงไกรที่สุดในโลก ประเทศที่มีลีกฟุตบอลที่ว่ากันว่าสนุกและมีแฟนบอลมากที่สุด
คงเหมือนกับเด็กผู้ชายทั่วๆ ไปไม่ว่าจะที่ไหนบนโลกใบนี้ที่ชอบวิ่งไล่เตะลูกหนังกลมๆ อย่างเมามัน ตอนเด็กๆ ความฝันของผมก็คือการได้เดินทางไปยังดินแดนแห่งนี้ และได้กลายเป็นหนึ่งในนักเตะไทยคนแรกๆ ที่มีโอกาสสัมผัสกับลูกหนัง (น่าจะทำจากวัวมากกว่าหมูนะ) และหญ้าสายพันธุ์แท้แบบอังกฤษ (ปัจจุบันเป็นหญ้าสังเคราะห์ไม่ก็หญ้าผสม)
แต่เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว การจะเดินทางไปที่นั่น อย่าว่าแต่ไปเล่นฟุตบอลอาชีพเลย แค่ไปเรียนก็ไม่ได้ง่ายแบบสมัยนี้ ที่แค่มีเงินก็สามารถไปได้ (แต่ไปแล้วจะอยู่แบบไหนก็ว่ากันไป)
ผมมีโอกาสไปเรียนต่อที่อังกฤษเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แม้จะแค่สิบห้าเดือน แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ล้ำค่าสำหรับผู้ชายที่โตมากับโลกแคบๆ ในโรงเรียนประจำ
หลายสิ่งอาจไม่ต่างจากที่เคยเรียนรู้ผ่านการอ่าน การดู และการฟัง แต่หลายอย่างก็ค่อนข้างต่างออกไป จากที่เคยจินตนาการเอาไว้อย่างสิ้นเชิง มันไม่ได้สวยงามไปซะหมด......
มาถึงตอนนี้หลายคนอาจเข้าใจว่าผมมีประสบการณ์ถูกเหยียดผิวจากผู้คนในอังกฤษมาแล้ว คำตอบคือเปล่าเลย
ผมเคยแต่ถูกถามว่ามีกัญชาขายมั้ย? (ฮาๆ คงเพราะตอนนั้นผมยาวมาก แถมไว้หนวดคล้ายๆ กับพี่ฮิวโก้ตอนอยู่วงสิบล้อ)
แต่...เพื่อนผมหลายๆ คนเคยโดน ผมไม่เคยพยายามหาเหตุผลว่าทำไม เพราะเข้าใจดีว่ารากฐานกรอบความคิดและความเชื่อของมนุษย์นั้นแม้จะเปลี่ยนกันได้ แต่ไม่ง่ายสำหรับทุกคน
คนขาวแท้ๆ ในประเทศอังกฤษและบางประเทศในยุโรปที่มีอารยธรรมมายาวนาน อย่างสเปน ฝรั่งเศส อิตาลี หรือกรีซ ถึงไม่แสดงออก แต่ลึกๆ ข้างใน
พวกเขายังคงเชื่อเสมอว่าตนมีอะไรที่เหนือกว่าคนผิวสี
ก็คงเหมือนๆ กับการที่คนอังกฤษกว่าครึ่งประเทศไม่เคยเห็นด้วยกับการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ EU เพราะมองว่าไม่จำเป็น เนื่องจากค่าเงินปอนด์ก็เสถียรและมีค่าสูงกว่าเงินสกุลอื่นๆ อยู่แล้ว แถมอัตราการว่างงานของคนในประเทศก็อยู่ในเรตที่ไม่น่าเป็นห่วงอะไร ซึ่งก็อาจจะจริงของพวกเขา (จน Brexit ในที่สุด)
....ครั้งหนึ่งระหว่างนั่งรอเลกเชอร์ในห้องสัมมนา ผมแลกบทสนทนาที่อาจเรียกได้ว่าเป็นวิวาทเล็กๆ กับเพื่อนชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อลอร์ล เธอเป็นสาวผิวขาวร่างใหญ่ ผมสีออกส้ม ผมถามเธอว่า
...
“แบบไหนที่เธอเรียกว่าขาว แบบนี้ หรือแบบนี้?”
“แบบนี้” แรก ผมถกแขนเสื้อขึ้นแล้วชี้ที่แขนตัวเอง ส่วน “แบบนี้” หลัง ผมชี้ที่แขนของเธอ
...
ผมถูกเรียกว่าไอ้เผือกมาตั้งแต่เด็ก แถมตอนนั้นมั่นใจมากว่าขาวเป็นพิเศษ ด้วยความที่ไม่ค่อยได้ถูกแดดมานาน
ส่วนลอร์ลนั้นมีผิวออกบรอนซ์ทองๆ ผสมแดงๆ เหมือนผิวที่ผ่านการอาบแดดมา คือมันไม่ใช่ขาวแน่ๆ
ลอร์ลหันมามองหน้าผมอย่างเย็นชา ด้วยสายตาที่ถ้าแปลเป็นภาษาพูดได้คงประมาณว่า “ไอ้โง่เอ๊ย ถามคำถามอีเดียตอะไรเนี่ย?”
แล้วเธอก็ชี้ไปที่แขนเหลืองๆ แดงๆ ของเธอแทนคำตอบแบบไม่ต้องคิด
ผมยิ้มแล้วถามกลับไปอีกครั้ง
“คุณมั่นใจเหรอ?”
เธอหันมาพยักหน้าแล้วตอบว่า “ใช่”
ผมยังคงกวนเธอต่อ
“ทำไมผมกลับคิดว่าผมผิวขาวกว่าคุณอีกล่ะ”
เธอหันมาด้วยหน้าตาที่เริ่มคล้ายกับนางพันธุรัตผมแดง พร้อมจิ้มนิ้วลงมาที่แขนผม
“ไม่ ไม่ ไม่ ดูนะ นื่คือเหลือง ไม่ใช่ขาว”
แล้วก็ชี้ไปที่แขนตัวเอง “นี่ขาว ไม่ใช่เหลือง!”
.
ผมได้แต่ยิ้มแล้วไม่พูดอะไรต่อ .... ^^
ระหว่างนั้นคริสติน เพื่อนชาวฝรั่งเศสเชื้อสายเอเชียของผมอีกคน ซึ่งเห็นเหตุการณ์โดยตลอดก็ย้ายมานั่งข้างๆ เธอกระซิบบอกผมว่า
“ใจเย็นๆ ถ้าคุณอยากจีบสาว นั่นไม่ใช่วิธีการที่ดีเลยนะ ชั้นช่วยเอามั้ย”
ผมหัวเราะ แล้วบอกเธอกลับไปว่า
“ไม่เลย ผมไม่ได้จีบลอร์ล ผมแค่สงสัยจริงๆ อยากรู้ทัศนคติเรื่องสีผิวของผู้หญิงยุโรปเป็นยังไง สำหรับผม รัสเซียนและสแกนดิเนเวียนขาวมาก แต่ชาติอื่นๆ ในยุโรป เช่น ทางใต้อย่างฝรั่งเศส สเปน ก็ไม่ได้ขาวเท่าไหร่
แต่ยังไงก็ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าข้อห้ามในการเริ่มบทสนทนากับผู้หญิง นอกเหนือจากตัวเลขแล้ว ก็คือสีผิว”
คริสตินหัวเราะ
“คุณต้องเข้าใจว่ายังไงเราก็ไม่ใช่คนขาวในสายตาของพวกเขา และไม่มีวันเป็น ครอบครัวของชั้นย้ายมาจากลาวตั้งแต่ชั้นห้าขวบ แม้ว่าทุกวันนี้ เราจะพูดภาษาเดียวกัน แต่บางครั้งชั้นก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตคนละสปีชีส์กันกับคนที่นี่อยู่ดี”
ผมฟังคริสตินอธิบายเพลินๆ ก่อนจะต้องงง เมื่อเธอปิดท้ายบทสนทนาของเราว่า
“ว่าแต่ คุณมีแฟนรึยัง”
“…….”
บางทีผมอาจจะผิด บางทีผมอาจจะคิดมากไปเอง แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ก็คือ ความคิดเปลี่ยนง่าย ความเชื่อเปลี่ยนยาก และไม่ใช่ทุกครั้งที่ความคิดกับความเชื่อจะต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
บางครั้งคุณอาจไม่คิดว่าคุณกำลังดูถูกใคร และคุณก็อาจไม่เชื่อหรือยอมรับว่าลึกๆ ในใจแล้วคุณเองก็คิดว่าคุณเหนือกว่าคนอื่นอยู่เช่นกัน
......
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนแบบนี้แหละ และจะเป็นแบบนี้ตลอดไป
#ผมไม่ขาว
#twelvecolours
#เขย่งก้าวกระโดด
#peoplepersona
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「twelvecolours」的推薦目錄:
- 關於twelvecolours 在 People Persona Facebook 的最佳解答
- 關於twelvecolours 在 People Persona Facebook 的最佳貼文
- 關於twelvecolours 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最佳解答
- 關於twelvecolours 在 大象中醫 Youtube 的精選貼文
- 關於twelvecolours 在 大象中醫 Youtube 的精選貼文
- 關於twelvecolours 在 Mademoiselle 22" long - NOW in Twelve Colors - Pinterest 的評價
- 關於twelvecolours 在 Unlocking PS2 3rd Strike colors: Twelve and Makoto - YouTube 的評價
twelvecolours 在 People Persona Facebook 的最佳貼文
“ข้อจำกัดของความฝัน”
.......ผมพยายามคิดอยู่นานว่าหลังจากหยุดไปสองวันเต็มๆเพื่อพักสมองและสองหัวใจ ของชายวัยกลางคน สองคน ที่บากบั่นตั้งหน้าตั้งตาเขียนอะไรต่อมิอะไรมาหนึ่งเดือนเต็มๆ ลงในเพจใหม่ที่เราทั้งคู่กำลังทำการทดลองอะไรบางอย่าง(กว่า 40 คอนเทนต์) แต่แล้วทุกอย่างก็หายวับไปกับตา เพราะสิ่งที่เรียกว่า “การรวมเพจ” (ตอนแรกตั้งใจจะไม่เอาทางเลือกนี้ ซึ่งก็คงโทษใครไม่ได้นอกจากความโง่เขลาเบาปัญญาน่าเขกกะโหลกของตัวเอง.....ลุงมาก) ผมควรจะลงอะไร เขียนอะไรดี หรือควรจะพอก่อนพักยาวๆ เพราะเหนื่อยละ ขี้เกียจด้วย แถมดวงไม่ดีเลย แต่แล้ว...หลังจากทบทวนอยู่สักพักใหญ่ ก็ได้รับกำลังใจมากมาย ส่งมาบอกว่า รออ่าน รอฟัง อย่าหยุดนะ........ซึ้ง...... ผมจึงตัดสินใจว่า ถ้าอย่างงั้น ขออนุญาตตัวเองเอาสิ่งที่เขียนไว้ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจส่งให้คนอื่นเมื่อนานมาแล้ว มาให้กำลังใจ มาส่งพลังให้ตัวเอง เป็นโพสต์แรกดีกว่า และ พรุ่งนี้ เราจะได้ ทำต่อ เขียนต่อ ก้าวเดินต่อไป (อย่างสนุกและมีพลัง)
------- นี่เป็นเรื่องราว 1 ใน 12 สี 6 เรื่อง ที่ผมเขียนลงหนังสือ “Twelve Colours” by พิภู พุ่มแก้ว เมื่อ 6 ปีก่อน ปี 2558 ตอนครบรอบ 12 ปีของ อะ บุ๊ค ครับ ไม่ยาวมากลองอ่านดูนะ ---------------
(โพสต์แรก หลังใช้ Circuit Breaker ตัวเองไป 48 ช.ม. จากหนังสือเล่มเล็กๆ เล่มแรกและเล่มเดียวที่ผมเคยเขียน ^^)
"Anything that man can imagine is a possibility in reality."
“ทุกสิ่งที่มนุษย์สามารถจินตนาการไปถึง มีความ เป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจริง”
Willie Gallon (Willy Karen) -One Piece-
ผมได้มีโอกาสทํางานเฉพาะกิจงานหนึ่งให้กับ องค์กรยอดเยี่ยมระดับประเทศองค์กรหนึ่ง มันเป็น งานเกี่ยวกับการวิจัยพฤติกรรมและแนวคิดของมนุษย์ ที่มักชอบจํากัดกรอบให้กับชีวิตตัวเองด้วยข้ออ้าง ที่สร้างขึ้นในจิตใจ
รูปแบบกิจกรรมเป็น”การทดลอง”ที่ ผมทําหน้าที่เป็นผู้ควบคุมและสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง ซึ่งมีทั้งชาวไทยและต่างชาติอย่างละครึ่ง
วิธีการดําเนินการทดลองนี้ก็คือ จะมีเก้าอี้วาง เรียงกันอยู่สิบตัว ผู้เข้าร่วมการทดลองจะเข้ามาทีละคน
แล้วเริ่มนั่งที่เก้าอี้ตัวแรก จากนั้นผมจะมีหน้าที่ถาม ทีละคําถาม ทุกครั้งที่ผู้เข้าร่วมการทดลองตอบได้ เขาจะได้ขยับไปนั่งบนเก้าอี้ตัวต่อไป จนกว่าจะตอบไม่ได้ ก็จะไม่ได้ไปต่อ ซึ่งแน่นอนว่า”หน้าที่ของผม”ก็คือ ต้องพยายามทําให้พวกเขาไปต่อไม่ได้นั่นเอง เป็นงานที่สนุกแต่ก็ยากมากครับ เล่นเอาเหนื่อยเลยทีเดียว
กลับบ้านไข้เกือบขึ้น
เอาล่ะ ผมขอยกตัวอย่างที่เป็นหนึ่งในบทสนทนา คําถาม (ของผม) และคําตอบ (ของอาสาสมัครการ ทดลอง) ในวันนั้นให้ดูนะครับ
.......
ผม : อะไรคือสิ่งที่ในชีวิตนี้คุณอยากทํามากที่สุด แต่ยังไม่ได้ทํา และคิดว่าอาจไม่ได้ทํา
อาสาสมัคร : เอิ่ม การเที่ยวรอบโลกมั้งคะ (เธอได้ เขยิบไปยังเก้าอี้ตัวที่สอง)
ผม : ทําไมคุณยังไม่ได้ไปเที่ยวรอบโลก
อาสาสมัคร : คงเพราะยังมีเงินไม่มากพอ (เธอได้ เขยิบไปยังเก้าอี้ตัวที่สาม)
ผม : เท่าไหร่ที่คุณคิดว่าจะมากพอ
อาสาสมัคร : น่าจะสักสิบล้าน (เธอไปยังเก้าอี้ ตัวที่สี)
ผม : แล้วทําไมคุณถึงยังไม่มีเงินสิบล้าน คุณคิดว่า อีกนานแค่ไหนคุณถึงจะมี
อาสาสมัคร : อาจจะอีกนาน (เริ่มอึกอัก) แต่ด้วย งานที่ฉันทําอยู่ คงยากแน่ๆ (ผมยังคงให้เธอไปยังเก้าอี้ ตัวถัดไป)
ผม : แล้วทําไมคุณถึงไม่เปลี่ยนงาน คุณเคย ลองหา ไม่สิ คุณเคยลองไปสมัครงานที่เงินดีกว่านี้ หรือยัง
อาสาสมัคร : เคยลองหา แต่ไม่เคยไปสมัคร (เธอได้ไปต่อที่ตัวที่หก)
ผม : ทําไมคุณถึงไม่ไปสมัคร คุณผัดวันประกันพรุ่ง หรือเปล่า คุณขี้เกียจหรือเปล่า
อาสาสมัคร : เอ่อ (เธอเงียบไปสักพัก) ค่ะ บางที
ชั้นก็คิดว่า ชั้นอาจขี้เกียจจริงๆ
เธอยังได้ไปต่อในตัวที่เจ็ด แต่นั่นคือตัวสุดท้าย เพราะเมื่อผมถามเธอต่อว่า ทําไมเธอถึงขี้เกียจ
เธอตอบไม่ได้
ผมคงไม่สามารถสรุปผลการทดลองในวันนั้นออกมาเป็นตัวอักษรได้อย่างสมบูรณ์ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้ก็คือ เราทุกคนต่างมีข้อจํากัดที่เรา สร้างขึ้นเอง อาจจะในสมองส่วนลึก หรือแม้แต่ในรูทีนของชีวิตประจําวัน กรอบที่มองไม่เห็น ทั้งหมดคือข้ออ้างที่จะทําให้เรา ไปต่อไม่ได้ไกล
การทําหน้าที่ในวันนั้น ส่งผลกระทบต่อผม โดยตรงมากกว่าใคร ๆ ในฐานะที่ต้องทําหน้าที่เป็นทั้ง ผู้ทดลอง (Experimenter) และผู้ดําเนินการสัมภาษณ์ (Moderator) อาจเพราะต้องเป็นผู้ตั้งคําถามแบบ กะทันหันพร้อม ๆ กับรับรู้ความรู้สึกที่ส่งผ่านกลับมา จากผู้คนมากมาย
คืนนั้นเมื่อกลับไปถึงบ้าน ผมคลานไปที่ชั้นวาง หนังสือปลายเตียงแล้วหยิบ The Travel Book: A Journey Through Every Country in the World ของ Lonely Planet หนังสือที่ผมขอให้คุณแม่ซื้อให้ในวันเกิดเมื่อห้าปีก่อน......... ตอนนี้มันเริ่มมีฝุ่นเกาะแล้ว ผมค่อยๆ เปิดดูภาพสีที่มีอยู่พันกว่าหน้าแบบไวๆ จากนั้นผมหันกลับไปที่หัวนอนแล้วพยายามค้นหา อะไรบางอย่างที่ชั้นวางของข้างเตียง.....
ในที่สุดผมก็เจอ มันเริ่มมีฝุ่นเกาะแล้วเช่นกัน สมุดเล่มเล็ก ๆ ที่ผมเขียนหน้าปกด้วยลายมือของ ตัวเองว่า “สมุดจด 100 ความฝัน”
อาจจะช้าไปหน่อย แต่ผมก็เริ่มต้นจดบางอย่าง ลงไปอีกครั้งก่อนนอน
หลับฝันดี ยิ้มๆนะครับ Gutnite ^^
#Twelvecolours
#ข้อจำกัดของความฝัน
#PeoplePersona
#เขย่งก้าวกระโดด
#BeginAgain
twelvecolours 在 Unlocking PS2 3rd Strike colors: Twelve and Makoto - YouTube 的推薦與評價
![影片讀取中](/images/youtube.png)
More quick & cheesy play-throughs in Street Fighter III: 3rd Strike on PS2 (in Street Fighter Anniversary Collection) to unlock extra ... ... <看更多>
twelvecolours 在 Mademoiselle 22" long - NOW in Twelve Colors - Pinterest 的推薦與評價
Mademoiselle 22" long - NOW in Twelve Colors. 22" long vinyl gloves are a less expensive alternative to patent leather gloves. They're made from a Spandex ... ... <看更多>