ทำไม สหรัฐอเมริกา จึงเป็นประเทศแห่ง อุตสาหกรรมไอที ? ตอนที่ 2 /โดย ลงทุนแมน
“ซิลิคอนแวลลีย์ไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นวิธีคิด”
คำกล่าวของ Reid Hoffman ผู้ก่อตั้ง LinkedIn แพลตฟอร์มเครือข่ายธุรกิจในการหางานและผู้ร่วมงาน ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเขตซิลิคอนแวลลีย์
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ในแง่สถานที่ ซิลิคอนแวลลีย์ คือ พื้นที่หุบเขาราว ๆ 1,500 ตารางกิโลเมตร บริเวณรอบอ่าวซานฟรานซิสโก ทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกา
ซิลิคอนแวลลีย์ประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่ ที่ล้วนเป็นสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของเหล่าบริษัทไอทีชั้นนำระดับโลก โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากคำว่า “ซิลิคอนชิป” ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่เป็นหน่วยความจำของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ส่วนในแง่วิธีคิด มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดปลูกฝังการศึกษาด้านอิเล็กทรอนิกส์ให้งอกงาม ไปพร้อม ๆ กับการพัฒนากระบวนการผลิตนักศึกษาให้เป็นนักธุรกิจ
จนนำมาสู่การก่อตั้งบริษัทไอทีระดับโลกแห่งแรกในซิลิคอนแวลลีย์ คือ Hewlett Packard (HP)
หลังจากนั้น หุบเขาแห่งนี้ก็เบ่งบานไปด้วยบริษัทไอที ดึงดูดนักประดิษฐ์และผู้คลั่งไคล้เทคโนโลยีจากทั่วโลก ให้เข้ามาสานฝันให้กลายเป็นความจริง
และเมื่อมี “วิธีคิด” ช่วยส่องสว่าง นวัตกรรมทุกอย่างก็จะมีหนทางไป..
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ตอน ทำไม สหรัฐอเมริกา จึงเป็นประเทศแห่ง อุตสาหกรรมไอที ? ตอนที่ 2
ด้วยอาณาบริเวณกว้างใหญ่รอบอ่าวซานฟรานซิสโก ต้นน้ำแห่งนวัตกรรมของซิลิคอนแวลลีย์จึงไม่ได้มีแค่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเท่านั้น
แต่เหนือขึ้นมาราว 50 กิโลเมตร ยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์กลีย์
มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก่อตั้งในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และสร้างนักประดิษฐ์ วิศวกร ไปจนถึงผู้ประกอบการชั้นยอดมากมาย มาประดับวงการไอที
หนึ่งในนั้นคือ Fred Moore ผู้ก่อตั้งสมาคมคอมพิวเตอร์โฮมบรูว์ สมาคมที่เป็นสถานที่นัดพบของผู้คลั่งไคล้ในโลกของเทคโนโลยี เป็นที่แลกเปลี่ยนทางความคิด
โดยความปรารถนาสูงสุดของผู้คนในสมาคมนี้ คือการสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลขึ้นมาเอง
ในช่วงปี 1975 ที่มีการก่อตั้งสมาคมแห่งนี้
ความสำเร็จของการประดิษฐ์ “ไมโครโพรเซสเซอร์” ที่ย่อส่วนแผงวงจรรวมจำนวนมากเข้ามาอยู่ด้วยกันในชิปขนาดเล็ก
ทำให้ขนาดของเครื่องคอมพิวเตอร์จากที่มีขนาดใหญ่โตเท่าห้อง มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ ราคาก็ถูกลงเรื่อย ๆ และด้วยหน่วยความจำที่มากขึ้น ความสามารถในการทำงานจึงสูงขึ้นและรวดเร็วขึ้นเป็นทวีคูณ
Steve Wozniak นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ได้ชักชวนเพื่อนสมัยมัธยมที่ชื่อ Steve Jobs ให้มาเข้าร่วมสมาคมคอมพิวเตอร์แห่งนี้..
Steve Wozniak เป็นผู้คลั่งไคล้ในวิศวกรรมและมีความสามารถในการประดิษฐ์คิดค้น เคยทำงานให้กับ Hewlett Packard
ส่วน Steve Jobs เป็นผู้มีหัวการค้า มีนิสัยกล้าคิดกล้าทำ เขาเคยทำงานให้กับบริษัทสร้างวิดีโอเกมชื่อ Atari และเคยทำงานในช่วงฤดูร้อนให้กับ Hewlett Packard ด้วยเช่นกัน
Wozniak ได้นำความรู้และประสบการณ์มาทดลองออกแบบคอมพิวเตอร์ด้วยแนวทางของตัวเอง โดยใช้ชิปเท่าที่จะหาได้ มาประกอบกับคีย์บอร์ด QWERTY และมีจอโทรทัศน์เป็นเครื่องแสดงผลในช่วงแรกเริ่ม
และเมื่อออกมาเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล Jobs ก็เป็นผู้เสนอความคิดให้ลองนำสิ่งประดิษฐ์นี้ออกวางขายในเวลาต่อมา
ผลงานการประดิษฐ์ชิ้นนั้นของ Wozniak ถือเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะรุ่นแรก ๆ ของโลก เครื่องคอมพิวเตอร์นี้ถูกตั้งชื่อต่อมาว่า “Apple I”
สิ่งสำคัญไม่แพ้การสนับสนุนจากสถาบันการศึกษาก็คือ “เสรีภาพทางความคิด”
ซิลิคอนแวลลีย์ มีสมาคมมากมายที่เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนทางความคิด นำเสนอไอเดีย จึงกลายเป็นวัฒนธรรมที่หล่อหลอมให้คนรุ่นใหม่กล้าคิดกล้าทำ และเติบโตไปบนหนทางสร้างสรรค์ที่ตัวเองตั้งใจ
คอมพิวเตอร์ของ Wozniak ก็ถูกนำเสนอแก่สายตาสมาชิกในสมาคมโฮมบรูว์ในช่วงปลายปี 1975 ซึ่งหนึ่งในผู้เข้ามาร่วมชม คือ เจ้าของร้าน The Byte Shop ร้านขายของเบ็ดเตล็ดและอุปกรณ์ไอที
ที่เกิดความประทับใจกับคอมพิวเตอร์ชิ้นนี้มาก จึงได้สั่งซื้อคอมพิวเตอร์นี้ถึง 50 เครื่อง
แล้วก้าวแรกของบริษัท Apple ก็เริ่มต้นขึ้นในเมืองคูเปอร์ติโน ทางตอนใต้ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในอีก 1 ปีถัดมา..
ใครจะไปเชื่อว่า จากบริษัทเล็ก ๆ ที่มีผู้ก่อตั้งเป็นผู้คลั่งไคล้เทคโนโลยี 2 คน
ในปี 1980 หลังการก่อตั้งเพียง 4 ปี บริษัทสามารถเติบโตจนเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นในฐานะบริษัทมหาชนได้สำเร็จ และได้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ในตอนนี้..
เมื่อมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแล้ว อีกหนึ่งก้าวสำคัญของซิลิคอนแวลลีย์ ก็เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970s
นั่นก็คือ จุดเริ่มต้นของ “อินเทอร์เน็ต”
เมื่อบริษัทไอที ชื่อ Xerox ได้จัดตั้งศูนย์วิจัยในเมืองพาโล อัลโต ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ชื่อว่า Xerox Palo Alto Research Center หรือ Xerox PARC
Xerox PARC ได้เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีเชื่อมต่อ จากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง ในยุคแรกที่มีชื่อว่า ระบบอีเทอร์เน็ต (Ethernet)
อีเทอร์เน็ต ถูกพัฒนาขึ้นในปี 1973 โดยเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับเครื่องพิมพ์ ผ่านเครือข่ายบริเวณระยะใกล้ หรือเครือข่าย LAN (Local Area Network)
ต่อมาในปี 1978 Vint Cerf ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้ร่วมมือกับ Bob Kahn พัฒนาโพรโทคอล TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol)
ซึ่งโพรโทคอลที่ว่านี้ คือชุดของขั้นตอนและกฎระเบียบ ทำให้ภายในชุดกฎระเบียบเดียวกัน ทั้ง 2 เครื่องจะสามารถเข้าใจระบบของกันและกัน และสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้
โดยเฉพาะเลข Internet Protocol (IP) ที่เป็นการปูรากฐานให้กับโลกของอินเทอร์เน็ต
อุปกรณ์ทุกชนิดที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตจะต้องมีเลขนี้ เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ บนระบบเครือข่ายรู้จักกัน โดย IP จะระบุว่า เครือข่ายต่าง ๆ ควรเชื่อมโยงกันอย่างไร
เมื่อโลกอินเทอร์เน็ตถูกปูรากฐาน ต่อมาในยุค 1980s ก็เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการพัฒนาคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลให้ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น
Doug Engelbart นักวิจัยจากสถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด ได้มาทำงานให้ PARC และได้พัฒนาระบบส่วนต่อประสานกราฟิกกับผู้ใช้ หรือ Graphic User Interface (GUI)
จากคอมพิวเตอร์รุ่นแรก ๆ ที่ใช้งานยากและต้องใช้งานผ่านตัวอักษร
ระบบ GUI ได้เข้ามาช่วยเปลี่ยนการใช้งานให้ง่ายขึ้นผ่านทางสัญลักษณ์หรือภาพ เช่น ไอคอน หน้าต่างการใช้งาน เมนู ปุ่มเลือก รวมถึงการพัฒนา “ตัวชี้ตำแหน่ง X-Y” ซึ่งต่อมาก็คือ “เมาส์”
ทั้งระบบ GUI และเมาส์นี่เอง ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ Steve Jobs นำสิ่งเหล่านี้มาพัฒนาและเกิดเป็น “Macintosh” ในปี 1984 ซึ่งถือเป็น เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรก ๆ ที่มีการออกแบบอย่างเข้าใจผู้ใช้งาน
ในเวลานี้ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ
ครัวเรือนชาวอเมริกันที่ครอบครองคอมพิวเตอร์เพิ่มจากร้อยละ 5 ในช่วงต้นทศวรรษ 1980s
มาเป็นร้อยละ 20 ในปี 1989
โลกอินเทอร์เน็ตถูกเชื่อมโยงเข้ากับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และเปิดทางให้เกิดการพัฒนา World Wide Web ในช่วงปี 1989 ซึ่งมีจุดเริ่มต้นเมื่อ นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัย CERN ในสวิตเซอร์แลนด์ ต้องการส่งข้อมูลให้กับเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก
World Wide Web, WWW คือ ระบบการเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต จากแหล่งข้อมูลหนึ่ง ไปยังแหล่งข้อมูลที่อยู่ห่างไกลทั่วโลก ให้มีความง่ายต่อการใช้งานมากที่สุด
โดยผ่านซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า “เบราว์เซอร์”
แล้ว “สาธารณชน” ในยุค 1990s ก็เข้าถึงโลกอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก!
สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศที่มีผู้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตสัดส่วนสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ในปี 1996 มีชาวอเมริกันเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสูงถึงร้อยละ 16
ในขณะที่หลายประเทศในยุโรปตะวันตกยังเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไม่ถึงร้อยละ 5
การเกิดขึ้นของ World Wide Web ทำให้ย่านซิลิคอนแวลลีย์เริ่มคึกคักไปด้วยบริษัทที่มีโมเดลทำรายได้ผ่านอินเทอร์เน็ต ที่ถูกมองว่าเป็นนวัตกรรมแห่งอนาคต ขึ้นมามากมาย
และสิ่งสำคัญที่สุด ที่มีมาตั้งแต่การก่อตั้งบริษัทไอทีในยุค 1950s คือ ธุรกิจเงินร่วมลงทุน หรือ Venture Capital ดึงดูดให้บริษัทสตาร์ตอัปมากมาย หลั่งไหลเข้ามาใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบเหล่านี้
นักศึกษาปริญญาเอกสาขาคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด 2 คน
คือ Larry Page และ Sergey Brin ได้ร่วมกันพัฒนาโปรแกรมสำหรับใช้ค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตในรูปแบบของ Search Engine
โดยใช้การทำงานของ Robot ที่ชื่อว่า Spider ซึ่งเป็นตัวสำรวจข้อมูล เมื่อพบข้อมูลที่ต้องการก็จะส่งข้อมูลไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทาง
ปี 1998 ทั้ง 2 คน ได้ตั้งบริษัทที่ชื่อว่า “Google” ในเมืองเมนโลพาร์ก และ IPO เข้าสู่ตลาดหุ้นในอีก 5 ปีถัดมา
แล้วก็ไม่ต่างอะไรกับบริษัท Apple เพราะอีก 20 ปีต่อมา บริษัท Google ที่เปลี่ยนชื่อเป็น Alphabet ก็ได้กลายมาเป็น บริษัทที่มีมูลค่าเป็นอันดับ 5 ของโลก..
แม้ความรุ่งเรืองจากการเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ต จะพาซิลิคอนแวลลีย์เข้าสู่การเติบโตที่รวดเร็วเกินไปจนเกิดวิกฤติฟองสบู่ดอตคอมในช่วงก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 จนสร้างความเสียหายหลายบริษัทและนักลงทุนในตลาดหุ้นจำนวนมาก
แต่อย่างไรก็ตาม วิกฤติครั้งนั้น ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการพัฒนาของเทคโนโลยี ณ หุบเขาแห่งนี้ได้
หลังจากวิกฤติไม่นาน ก็มีการพัฒนาระบบ IPv6 ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลน IP ช่วยให้อุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น นอกเหนือจากเครื่องคอมพิวเตอร์
ซึ่งปูทางมาถึงการเกิดขึ้นของ “สมาร์ตโฟน” โทรศัพท์มือถือที่มีความสามารถในการใช้งานมัลติมีเดีย และเชื่อมต่อเข้ากับโลกอินเทอร์เน็ตอย่างไร้รอยต่อ ด้วยระบบ IPv6
หนึ่งในสมาร์ตโฟนที่โดดเด่นที่สุดก็คือ iPhone จากบริษัท Apple ที่เปิดตัวในปี 2007
เช่นเดียวกับ Google ที่ได้เข้าซื้อบริษัท Android และเปิดตัวโทรศัพท์แอนดรอยด์ในปี 2008
และทั้งสองก็แข่งขันกันพัฒนาระบบปฏิบัติการของตัวเอง
เมื่อผู้คนเริ่มใช้สมาร์ตโฟนมากขึ้น นำมาสู่การเกิดขึ้นของ “Application” ซอฟต์แวร์ที่ใช้เพื่อช่วยการทำงานต่าง ๆ ของผู้ใช้งาน
โดยแอปพลิเคชัน จะมีส่วนที่ติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface) หรือ UI เพื่อเป็นตัวกลางในการใช้งานให้ราบรื่น
และด้วยความที่ซิลิคอนแวลลีย์เต็มไปด้วย Venture Capital ที่คอยให้เงินทุนสนับสนุนไอเดียล้ำ ๆ
หุบเขาแห่งนี้ จึงยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดบริษัทใหม่มากมาย โดยเฉพาะบริษัทที่จะมาสร้างสรรค์เครือข่ายสังคมออนไลน์..
ปี 2003 LinkedIn เกิดแพลตฟอร์มเครือข่ายธุรกิจในการหางานและผู้ร่วมงาน
ก่อตั้งโดย Reid Garrett Hoffman วิศวกรที่เคยทำงานให้กับ Apple
ปี 2004 เกิด Facebook เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก
ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการคิดค้นวิธีการเชื่อมผู้คนในรูปแบบใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ของ Mark Zuckerberg พร้อมกับเพื่อนอีก 4 คน
ปี 2006 หลังออกจากมหาวิทยาลัย Jack Dorsey พร้อมกับเพื่อนอีก 3 คน
ได้ก่อตั้งเครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภท Microblog ที่แสดงข้อความสั้น ๆ ความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร
โดยคิดค้นชื่อที่มาจากคำว่า Tweet ซึ่งแปลว่าเสียงนกร้อง Logo ของบริษัทจึงเป็นรูปนก และบริษัทนี้มีชื่อว่า Twitter
ปี 2009 เกิด WhatsApp แอปพลิเคชันในการติดต่อสื่อสารด้วยข้อความ ก่อตั้งโดย Jan Koum โปรแกรมเมอร์ที่เห็นประโยชน์จากการเกิดขึ้นของสมาร์ตโฟน
บริษัททั้งหมดล้วนมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในซิลิคอนแวลลีย์
หุบเขาแห่งเทคโนโลยีแห่งนี้ยังคงดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้เข้าไปเติมเต็มความฝัน เพื่อสร้างสรรค์อุปกรณ์ไอทีที่ไฮเทคขึ้นเรื่อย ๆ
และเปลี่ยนแปลงมาสู่โลกของเครือข่ายอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและเชื่อมต่อกันและกัน หรือเรียกว่า “Internet of Things” ที่จะเข้ามามีบทบาทในทุกย่างก้าวของชีวิต
ความสำเร็จของอุตสาหกรรมไอทีที่ทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นมหาอำนาจของโลก ล้วนมีที่มาจากหลายปัจจัย
ทั้งระบบการศึกษาที่เข้มแข็ง ที่สร้างองค์ความรู้และช่วยวางรากฐานสู่โลกธุรกิจ
วัฒนธรรมแห่งเสรีภาพ ที่สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่กล้าคิดกล้าทำเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
แหล่งเงินทุน ที่เข้าถึงง่ายและมีหลากหลายรูปแบบ
และเครือข่ายผู้คิดค้นนวัตกรรมที่เติมเต็มความฝันต่อยอดกันไปไม่รู้จบ
หากถามว่า อิทธิพลทางเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาจะคงอยู่อีกนานแค่ไหน ?
เมื่อไรที่มนุษย์จะหยุดฝัน เมื่อนั้นอาจเป็นคำตอบ..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-มิเชลล์ ควินน์, เมื่อซิลิคอนแวลลีย์เติบใหญ่ นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2562
-https://www.parc.com/about-parc/parc-history/
-https://www.internetsociety.org/wp-content/uploads/2017/09/ISOC-History-of-the-Internet_1997.pdf
-https://searchnetworking.techtarget.com/definition/TCP-IP
-https://www.lifewire.com/transmission-control-protocol-and-internet-protocol-816255
-https://tradingeconomics.com/united-states/personal-computers-per-100-people-wb-data.html
-https://www.businessinsider.com.au/highest-valued-public-companies-apple-aramco-biggest-market-cap-2020-1
-https://www.forbes.com/profile/reid-hoffman/#5f276ca61849
-http://startitup.in.th/the-rags-to-rich-jan-koum-whatsapp-co-founder-startup-story/
-https://www.set.or.th/set/enterprise/html.do?name=vc
同時也有15部Youtube影片,追蹤數超過0的網紅CarDebuts,也在其Youtube影片中提到,ชมขั้นตอนการผลิต โดยละเอียด All-New 2019 BMW 3-Series ที่โรงงานในเมือง San Luis Potosi เม็กซิโก San Luis Potosi/Munich. High-level representatives of...
「local area network」的推薦目錄:
local area network 在 Drama-addict Facebook 的最佳解答
อีกสองวันนะครับ พ่อแม่พี่น้องชาวเหนือชาวอีสานเตรียมรับมือกันด้วย เตรียมขนของขึ้นที่สูงตั้งแต่วันนี้เลยก็ดี
#ประชาสัมพันธ์เพื่อทราบ
วันที่ 16 กันยายน 2563
#ติดตาม การเคลื่อนตัวของ พายุโนอึล NOUL
เมื่อเช้านี้ (16.9/63 ฝ่ายตรวจสอบข้อมูลสภาพอากาศ เครือข่ายเพื่อนเตือนภัยจังหวัดขอนแก่น ได้ลองศึกษาข้อมูล ดูเส้นทางพายุลูกนี้ จะดู คล้าย คล้าย กับ พายุราอี + พายุโพดุล รวมกัน (หมายถึงเส้นทางเดินพายุ) เส้นทางจะคล้าย ราอี แต่ความแรงและเร็ว จะเหมือนโพดุล พายูจะอยู่ไม่นาน เนื่องจากความแรงทำให้พายุพัดผ่านไปไว แต่จะหอบน้ำเข้ามาเยอะ เนื่องจากศูนย์กลางพายุมีกำลังลมค่อนข้างสูง มีความละม้ายคล้ายคลึง กับเส้นทาง #พายุโนอึล ที่กำลังจะเข้าไทยในช่วงค่ำคืนของวันศุกร์ที่ (18/9/63) จะถึงนี้ ตอนนี้พายุโนอึล หลายสำนักพยากรณ์ใกล้เคียงกันว่า โนอึล (ชื่อพายุ เรียงตามแต่ละประเทศที่ตั้งมา ชื่อนี้หมายถึง เรืองแสง , ท้องฟ้าสีแดง ประเทศเกาหลีเหนือ เป็นผู้ส่งเข้าประกวด อยู่ในลำดับที่ 17 ของรายชื่อพายุหมุนเขตร้อน) อาจะพัฒนาเป็น #โซนร้อน หรือไม่ก็พัฒนาถึงขั้นเป็น #พายุไต้ฝุ่น
ซึ่งหากเทียบกันกับ #พายุโพดุล เมื่อปีที่แล้ว (วันที่ 30-31 สิงหาคม 2562) ที่ตอนแรกจะเข้าทาง จ.นครพนม แต่เชื่อไหมว่า โพดุล กลับมุดเข้าทาง จ.มุกดาหาร ทำให้ จ.ขอนแก่น (โดยเฉพาะ อ.บ้านไผ่ มีน้ำไหลหลากท่วมบ้านเรือนประชาชนในเขตเทศบาลเมืองบ้านไผ่) ได้รับผลกระทบมากซักหน่อย ทำให้มีสมาชิกหลายท่านตกใจว่า น้ำท่วม อ.บ้านไผ่ ได้อย่างไร (เพราะฝนตกสะสม) และเจ้าพายุโพดุลเองก็ไม่รุนแรงมาก แต่ก็ไปไวเหมือนกัน แต่รู้ไหมว่า โพดุล มันหอบน้ำเข้ามามาก ทำให้ฝนตก (สะสม) หนักมาก และ ทำให้ถนนหลายสาย มีน้ำท่วมเป็นวงกว้าง และถนนในท้องถิ่นขาด การสัญจรลำบากในบางพื้นที่ แถมยังมีน้ำครอบคลุมพื้นที่ รอการระบายหลายวัน ก็ต้องลุ้นละว่าจะเข้ามาทาง จ.นครพนม หรือ จ.มุกดาหาร
ตามแบบกราฟฟิก (ข้อมูลจาก สำนักงานอุตุนิยมวิทยา จ.สกลนคร) ที่ได้เอื้อเฟื้อข้อมูล จะพบว่าถ้าพายุนี้เคลื่อนตัวตามแบบจำลองที่ 2 ( #เส้นสีน้ำเงิน ของระบบพยากรณ์อากาศทั่วโลก อเมริกา) จะมีผลกระทบต่อ พื้นที่อำเภอตอนใต้ของ จ.ขอนแก่น
แต่ถ้าพายุนี้เคลื่อนตัวตามแบบจำลองที่ 1 ( #เส้นสีแดง ของศูนย์พยากรณ์อากาศระยะปานกลางแห่งยุโรป) จะมีผลกระทบต่อพื้นที่อำเภอตอนเหนือของ จ.ขอนแก่น ซึ่งจากการติดตามข้อมูล และแลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์เส้นทางของพายุ (กรมอุตุนิยมวิทยา & กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ)
วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2563 ในช่วงเวลา บ่าย ถึง ค่ำ จะเริ่มมีฝนตกเป็นระยะ ระยะ ในระลอกแรก (ส่วนกรุยทาง) หลังจากเวลา 21.00 น. จะเริ่มมีฝนตกต่อเนื่อง (ทัพหน้า) ไปจนถึงเที่ยงคืน
ล่วงเลยมาถึงวันเสาร์ที่ 19 กันยายน 2563 ตั้งแต่เวลา 01.00 - 07.00 น. จะมีฝนตกหนัก ถึง หนักมาก (ทัพหลวง) และหลังจากนั้นเวลา 07.00 - 18.00 น. ฝนตก เบา เบา เป็น ระยะ ระยะ (ทัพหลัง) ส่วนในช่วงค่ำ บางพื้นที่ฝนอาจจะเริ่มหยุดตก (แต่ก็ยังตกได้ เรื่อย เรื่อย เบาสบาย)
และในวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน 2563 สภาพอากาศจะเริ่มกลับสู่
สภาวะปกติ แต่ยังคงมีฝนตกตามฤดูกาล (เพราะฤดูนี้คือ ฤดูฝน ไม่ใช่หน้าฝน) ในช่วงบ่าย-ค่ำ จึงขอนำเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน จริง จริง ครับ #คนส่งข่าวหล่อบอกต่อด้วย รายงาน
#เครือข่ายเพื่อนเตือนภัยจังหวัดขอนแก่น 12.50 น.
#ประชาสัมพันธ์เพื่อทราบ
September 16, 2563
#Tracking the movement of Noble NOUL
This morning, (16.9/63 Weather Data Check, Khon Kaen Provincial Warning Network, we have tried to study the data. This storm's path will look similar to Rae xī Storm Storm (referring to the walking path). The path will look similar to Raja The strength and fast will be like Pomptu won't last long as the strength makes the storm fast. But it will bring plenty of water as the storm center is quite high. There is a similarity to the path of the #Noolstorm that is coming to Thailand. Friday night session (18/9/63) nowadays, many No-Elder storms are predictable that No Eun (storm name is according to each country. This name means glowing, red sky, North Korea is the one. Submit to the contest in the 17th order of tropical twisters.) Whether it's a #hot zone or not, it's a #typhoon.
Which is compared to #last year's #storm (August 30-31, 2562) which is first to enter the province. Nakhon Phanom. But do you believe that the postage is coming back to the province? Mukdahan makes the province. Khon Kaen (especially the district. Bamboo house has flooded flooding. People in the municipal area of Bamboo city). It's very impacted. Many members are shocked that the district flood is flooded. How can a bamboo house (because of the rain) and the storm itself? It's not too severe, but it's fast. But do you know that Podule is carrying a lot of water. It makes it rain (accumulated) heavily and it causes many roads to flood and widely flooding. Local roads are torn apart in some areas. Water covers the area for several days. I have to guess that it's coming to the province. Nakhon Phanom or province Mukdahan
Graphic according to (information from the Meteorological Office of Meteorology. Sakhon Nakhon) that has been magnificent. Data will find that if this storm moves in the model 2 (#Blue line of the American global forecast system) will affect the area of the Southern District of the province. Khon Kaen
But if this storm moves along the model 1 (#Red line of the European mid-term forecast centers) will have an impact on the northern district area of the province. Khon Kaen, which is based on tracking and exchanging data with experts on storm trail analysis (Meteorological Department & Navy Meteorology Department)
Friday 18 September 2563 In the afternoon to night, there will be rain during the first ripple (21.00 p.m.) after 21.00 p.m. It will start to rain continuously (front) until midnight
Lapse arrives on Saturday, September 19, 2563 from 01.00-07.00 pm. There will be heavy rain to heavy rain (Luang Army) and then 07.00 pm-18.00 pm. Light rain for a period of time (army after) during the evening. Some areas of rain may start to stop (but it keeps falling. Light and comfortable)
And on Sunday September 20, 2563 the weather will start to return.
Normal conditions, but there is still seasonal rain (because this season is rainy season, not rainy season) in the afternoon-evening. So I want to study to know it. It's true. #Handsome news person. Please tell me about it. Report.
#Friend network. Warning Khon Kaen province 12.50 p.m.Translated
local area network 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
MEA x ลงทุนแมน
MEA กับภารกิจขับเคลื่อน Smart Energy
พ.ศ. 2501 คือปีก่อตั้งของการไฟฟ้านครหลวง หรือ Metropolitan Electricity Authority (MEA)
เท่ากับว่าในปีนี้ MEA มีอายุ 62 ปีแล้ว
ในปัจจุบันโลกกำลังถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี
ที่ผลักดันให้ทุกอย่างเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิทัล
ซึ่งจะส่งผลให้วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
แล้ว MEA ในฐานะผู้ให้บริการพลังงานไฟฟ้าในเขตมหานคร
จะช่วยขับเคลื่อนการใช้พลังงานไฟฟ้าให้เข้าสู่ยุคสมัยใหม่ได้อย่างไร ?
เพราะความต้องการใช้ไฟฟ้าของผู้คนมีมากขึ้น
ดังนั้น MEA จึงต้องบริหารจัดการไฟฟ้าอย่างครอบคลุมมีประสิทธิภาพ
และพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับ Demand & Supply
ตอบสนองวิถีชีวิตและการใช้เทคโนโลยีในเมืองมหานคร
หนึ่งในภารกิจสำคัญในตอนนี้ของ MEA
คือการพัฒนาระบบพลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy)
ผ่านการสร้าง “ระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ”
หรือที่เรียกว่า “Smart Metro Grid Project”
ถ้าให้อธิบายคำว่า Smart Metro Grid แบบง่าย ๆ ก็คือการเปลี่ยนโครงข่ายไฟฟ้าแบบเดิม ให้เป็นระบบดิจิทัล พร้อมมีการบริหารจัดการระบบที่ทันสมัย โดยหนึ่งเครื่องมือที่สำคัญของเรื่องนี้ คือ “Smart Meter”
Smart Meter จะมีความแตกต่างจากมิเตอร์ไฟฟ้าแบบดั้งเดิม
คือนอกจากจะทำหน้าที่แค่อ่านค่าปริมาณการใช้ไฟฟ้าแล้ว
ยังมีคุณสมบัติในการรับส่งข้อมูลได้แบบ สองทาง (Two-Way Communication)
และข้อมูลนั้นจะปรากฏและแสดงผลในทันทีแบบ Real-time
ทำให้ MEA ทราบถึงปริมาณการจ่ายไฟฟ้าไปในแต่ละที่ได้ชัดเจน
และทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
ยกตัวอย่างเช่น หากมีเหตุไฟฟ้าขัดข้องเกิดขึ้น
ระบบ Smart Metro Grid จะทราบพื้นที่บริเวณที่เกิดปัญหาขัดข้องได้ในทันที
หมายความว่า ระบบ Smart Metro Grid
จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่จะทำให้ MEA
สามารถวิเคราะห์ข้อมูล บริหารจัดการ และให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งจะทำให้การจัดการพลังงานภายในบ้านเรือน อาคารสำนักงาน มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในอนาคต
โดยในช่วงแรกของโครงการ
MEA ตั้งเป้าติดตั้ง Smart Meter จำนวน 31,539 ชุด ในกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้านำร่อง
เขตพื้นที่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ
โดยที่ผู้ใช้ไฟฟ้าไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง
ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้น และเริ่มทดลองใช้ได้ภายในปี พ.ศ. 2565
จากนั้นจึงจะขยายการติดตั้งให้ครอบคลุมผู้ใช้บริการในพื้นที่ทั้งหมดในอนาคต
นอกเหนือจากการจัดการไฟฟ้าในอาคารบ้านเรือนแล้ว
ระบบ Smart Metro Grid ยังเป็นพื้นฐานสำคัญในการเชื่อมโยงพลังงานสะอาด
อย่างเช่น พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ ผ่านโซลาร์เซลล์ และ โซลาร์รูฟท็อป
รวมทั้งยังเชื่อมโยงไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า EV ขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด
ในการพัฒนาสถานีชาร์จ สำหรับรองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า
เพื่อช่วยให้โลกของเราน่าอยู่ขึ้น ทั้งลดมลพิษทางอากาศ
และไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นับได้ว่าเป็นเทรนด์รักษ์โลก รักษ์พลังงาน
ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในอนาคตอันใกล้นี้..
Reference
- เว็บไซต์การไฟฟ้านครหลวง: www.mea.or.th
MEA x invest man
MEA with Smart Energy Drive mission
P.O. 2501 is the beginning of electricity from Nakhon Luang or Metropolitan Electricity Authority (MEA)
Equal to this year MEA is 62 years old.
The world is now being driven by technology.
That pushes everything to change through the digital age.
Which will change people's lifestyle.
Then MEA as an electric energy provider in the metropolitan area.
How to drive electric energy into the modern era?
Because more people's electricity demand.
Therefore, MEA needs to manage electricity effectively.
And continuously developing technology to support Demand & Supply
Responding to lifestyle and technology in Metropolitan City
One of the important mission now of MEA
The development of smart energy system (Smart Energy)
Through the creation of ′′ Smart Electric Network ′′
Aka ′′ Smart Metro Grid Project ′′
If you simply describe Smart Metro Grid, it's a simple way to change the same electric network into a digital system with modern system management. One of the important tools of this story is ′′ Smart Meter
Smart Marteter will be different from traditional electric meter.
Well, in addition to just reading the electricity cost.
Two-Way Communication Qualifications
And that information will appear and show instantly real-time.
Make MEA know the clear amount of electricity supply
And know precisely and fastly about the problems
For example, if an electrical malfunction happens.
Smart Metro Grid system will immediately know the area of the problem.
It means Smart Metro Grid System
Will be a key turning point to make MEA
Can analyze data, manage and serve effectively.
This will make energy management in homes, office buildings more efficient in the future.
By in the first phase of the project
MEA aims to install 31,539 sets of Smart Meter in the pilot power group.
Bangkok area, Nonthaburi and Samut Prakan area.
Electric users don't cost installation
Which is expected to complete and start trial by year. 2565 baht
Installation will then be extended to cover all local service users in future.
In addition to electrical management in house buildings.
Smart Metro Grid system is also an essential foundation to connect clean energy.
For example, electricity from solar through solar and solar rooftop.
Including links to EV electric cars driven by clean energy.
In development of charging stations to support electric cars.
To help our planet live up, reduce air pollution
And no carbon dioxide emission is considered as a trend of conservation of energy.
That will lead to big changes in the near future..
Reference
- Nakhon Luang Electricity Site: www.mea.or.thTranslated
local area network 在 CarDebuts Youtube 的精選貼文
ชมขั้นตอนการผลิต โดยละเอียด All-New 2019 BMW 3-Series ที่โรงงานในเมือง San Luis Potosi เม็กซิโก
San Luis Potosi/Munich. High-level representatives of the Mexican government and the BMW Group officially opened the company’s new automotive plant in San Luis Potosi in Mexico today.
Oliver Zipse, member of the Board of Management of BMW AG responsible for Production, stated during the ceremony: “The new plant in San Luis Potosi is an important pillar of the BMW Group’s global production strategy. We aim to achieve a balance in our production and sales in the different world regions. We want to strengthen our footprint in important and growing markets. Plant San Luis Potosi will significantly boost our regional production flexibility in the Americas. From here, we are delivering our locally produced BMW 3 Series Sedan to customers worldwide.”
The company has invested more than one billion US dollars in the new production location. The plant, which already employs 2,500 people, will have a capacity of up to 175,000 units per year once the ramp-up phase is fully completed.
San Luis Potosi will build the BMW brand’s most successful model series: the BMW 3 Series Sedan. In the company’s more than 100-year history, this iconic car has come to represent the heart of the brand, setting the standard for dynamic performance, efficiency and design.
The ceremony in San Luis Potosi was attended by guests including Dr. Alfonso Romo Garza, Head of the Office of the Presidency of the Mexican Republic; Dr Juan Manuel Carreras López, governor of the state of San Luis Potosi; Oliver Zipse, member of the Board of Management of BMW AG responsible for Production; Milagros Caiña-Andree, member of the Board of Management of BMW AG responsible for Human Resources and Labour Relations, and Dr Andreas Wendt, member of the Board of Management of BMW AG responsible for Purchasing and Supplier Network.
Head of Human Resources Milagros Caiña-Andree highlighted the BMW Group’s strong commitment to vocational education: “Our highly-trained employees form a strong foundation for our new BMW Group Plant San Luis Potosi and help us meet high quality standards for our premium products. Our dual vocational training programme is already in its fourth generation.”
At an innovative new training centre on the plant grounds, all new staff and apprentices are trained in the BMW Group’s latest production processes and technologies, based on the dual vocational training model. The centre is not just focused on expanding employees’ and apprentices’ technical skills, but also boosting motivation, enthusiasm and team spirit.
The plant is working with four technical institutes in this area and has already trained 250 apprentices in technical occupations.
Dr Andreas Wendt, member of the Board of Management of BMW AG responsible for Purchasing and Supplier Network: “We have a strong supplier base we can build on in Mexico, having sourced high-quality, technologically sophisticated and innovative products from here for more than ten years. Every BMW Group vehicle today already contains at least one part from one of our 220 Mexican suppliers. Our new plant will benefit from short supply routes and the high level of flexibility this gives our supply chain.”
The BMW Group has operated its own local purchasing office in Mexico since 2008. In 2017, the office relocated from Mexico City to San Luis Potosi, where it now employs 105 people. The BMW Group’s purchasing volume in Mexico reached USD 2.5 billion last year.
local area network 在 Mars Hartdegen Youtube 的精選貼文
?? Construction of the Da Lat–Thap Cham Railway began in 1908, a decade after it had first been proposed by Paul Doumer, then Governor General of French Indochina, and proceeded in stages. Due to the difficulty of the mountainous terrain west of Sông Pha—where the Ngoan Muc Pass rose into the Central Highlands—construction proceeded slowly, requiring several rack railway sections and tunnels to be built. The railway was 84 km (52 mi) long, and rose almost 1,400 metres (4,600 ft) along a winding route with three rack rail sections and five tunnels. The railway tracks finally reached Da Lat in 1932, 24 years after construction had begun. Another railway station existed at the time, operated by the SGAI, a company that had managed the operation of the railway until that time. The job of designing and constructing a new railway station to replace the old one was given to French architects Moncet and Reveron, who submitted a proposal designed by Reveron in 1932. The new station would follow the Art Deco style popular at the time, but would incorporate some characteristics of a Cao Nguyen communal house of Vietnam's Central Highlands, specifically with its high, steep roofs. Construction of the new station began in 1935, directly supervised by Moncet, and was completed three years later in 1938, becoming one of the first colonial-style buildings to be erected in the area.
A JNR Class C12 steam locomotive at Da Lat Railway Station
Throughout the Vietnam War, the Da Lat–Thap Cham line—as with the entire Vietnamese railway network—was a target of bombardments and sabotage. Relentlessly sabotaged and mined by the Viet Cong, the line gradually fell out of use, with regular operations coming to an end in 1968. Following the Fall of Saigon in April 1975, the railway was dismantled to provide materials for the repair of the main line. In the 1990s, however, a 7 km (4.3 mi) section of the line between Da Lat Railway Station and the nearby village of Trại Mát was restored and returned to active use as a tourist attraction.
A 2002 planning document listed the restoration of the entire Da Lat–Thap Cham railway as a priority for infrastructure development for Da Lat and Lâm Đồng Province, including the upgrading of Da Lat Railway Station to handle passenger and cargo transportation. The proposed renewal received the backing of provincial and local governments, and the national government indicated that private companies would also be allowed to participate in the reconstruction of the railway. The project would also include a connection to the North–South Railway at Thap Cham, allowing trains to circulate between Da Lat and the rest of the country for the first time since the Vietnam War. In December 2009, four rail cars restored to look like the rail cars used on the Da Lat–Thap Cham line in the 1930s were put into use on the Da Lat–Trai Mat tourist railroad, carrying signage reading "Dalat Plateau Rail Road".
local area network 在 Mars Hartdegen Youtube 的最佳貼文
??
Construction of the Da Lat–Thap Cham Railway began in 1908, a decade after it had first been proposed by Paul Doumer, then Governor General of French Indochina, and proceeded in stages. Due to the difficulty of the mountainous terrain west of Sông Pha—where the Ngoan Muc Pass rose into the Central Highlands—construction proceeded slowly, requiring several rack railway sections and tunnels to be built. The railway was 84 km (52 mi) long, and rose almost 1,400 metres (4,600 ft) along a winding route with three rack rail sections and five tunnels. The railway tracks finally reached Da Lat in 1932, 24 years after construction had begun. Another railway station existed at the time, operated by the SGAI, a company that had managed the operation of the railway until that time. The job of designing and constructing a new railway station to replace the old one was given to French architects Moncet and Reveron, who submitted a proposal designed by Reveron in 1932. The new station would follow the Art Deco style popular at the time, but would incorporate some characteristics of a Cao Nguyen communal house of Vietnam's Central Highlands, specifically with its high, steep roofs. Construction of the new station began in 1935, directly supervised by Moncet, and was completed three years later in 1938, becoming one of the first colonial-style buildings to be erected in the area.
A JNR Class C12 steam locomotive at Da Lat Railway Station
Throughout the Vietnam War, the Da Lat–Thap Cham line—as with the entire Vietnamese railway network—was a target of bombardments and sabotage. Relentlessly sabotaged and mined by the Viet Cong, the line gradually fell out of use, with regular operations coming to an end in 1968. Following the Fall of Saigon in April 1975, the railway was dismantled to provide materials for the repair of the main line. In the 1990s, however, a 7 km (4.3 mi) section of the line between Da Lat Railway Station and the nearby village of Trại Mát was restored and returned to active use as a tourist attraction.
A 2002 planning document listed the restoration of the entire Da Lat–Thap Cham railway as a priority for infrastructure development for Da Lat and Lâm Đồng Province, including the upgrading of Da Lat Railway Station to handle passenger and cargo transportation. The proposed renewal received the backing of provincial and local governments, and the national government indicated that private companies would also be allowed to participate in the reconstruction of the railway. The project would also include a connection to the North–South Railway at Thap Cham, allowing trains to circulate between Da Lat and the rest of the country for the first time since the Vietnam War. In December 2009, four rail cars restored to look like the rail cars used on the Da Lat–Thap Cham line in the 1930s were put into use on the Da Lat–Trai Mat tourist railroad, carrying signage reading "Dalat Plateau Rail Road".
local area network 在 What is a LAN? Local Area Network - Cisco 的相關結果
A local area network (LAN) is a collection of devices connected together in one physical location, such as a building, office, or home. A LAN can be small ... ... <看更多>
local area network 在 What is a LAN? - Definition from WhatIs.com - TechTarget 的相關結果
A local area network (LAN) is a group of computers and peripheral devices that share a common communications line or wireless link to a server within a ... ... <看更多>
local area network 在 區域網路- 維基百科,自由的百科全書 的相關結果
區域網路(英語:Local Area Network,簡稱LAN)是連接住宅、學校、實驗室、大學校園或辦公大樓等有限區域內計算機的計算機網路。相比之下,廣域網路(WAN)不僅覆蓋較 ... ... <看更多>